อย่าคืนแค่ “ความสุข”

อย่าคืนแค่ “ความสุข”

อดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุนที่เข้ามารับตำแหน่งนายกฯด้วยวิธีไม่ได้เลือกตั้งแต่ก็ได้บริหารประเทศมาอย่างประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง

เป็นที่ประจักษ์ได้เคยกล่าวถึงรัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ตั้งแต่แรกๆหลังจากได้ฟังได้เห็นถึงวิธีคิดวิธีทำงานที่คสช.แถลง ว่ารัฐบาลคสช.กำลังจะ “บริหารประเทศด้วยระบบราชการ”

น้ำเสียงของท่านในตอนนั้นพออ่านได้ว่าเตรียมตัวไม่ตั้งความหวังอะไรมากนัก

ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อนแล้วหลายๆขันจึงได้กล่าวเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อสามสี่ปีที่แล้วโดยในวันนี้เราประชาชนก็ประจักษ์ว่าบ้านเมืองยังย่ำเท้าอยู่กับระบบข้าราชการาธิปไตยเดิม ๆสามสี่ปีของคสช.ผ่านไปอย่างไร้วี่แววการปฏิรูปอะไรทั้งสิ้นจนเกิดการล้อว่าทำได้แค่ “ปฏิลูบ” คือแค่ลูบๆคลำๆผิวๆ เผิน ๆ

ระบบราชการยังเป็นลูกตุ้มยักษ์ที่เหวี่ยงแบบเดิมเก่าเทอะทะประสิทธิภาพต่ำที่เคยถูกระบบทุนอุปถัมภ์ของนักการเมืองครอบงำก็กลายมาเป็นเข้าเกียร์ว่างบ้างผสมผสานกับระบบราชการทหารที่ก็ไม่ต่างกันนักกับระบบราชการพลเรือนผลงานมีตามระบบเช้าชามเย็นชามยังเต็มไปด้วยเพื่อนพ้องน้องพี่ปกปักรักษากันไร้ความโปร่งใสเหมือนๆกันทั้งระบบราชการทหารและพลเรือน

ระบบราชการตำรวจที่ “รับใช้”การเมืองและประโยชน์ส่วนตนก็ยังเป็นแบบเดิมกลับดูจะยิ่งเหิมเกริมกระทำการหมิ่นน้ำใจคนทั้งประเทศด้วยการที่อดีตนายตำรวจใหญ่อดีต ผบ.ตร. ประกาศว่า อาชีพตำรวจเป็นเพียง “ไซด์ไลน์” ส่วนอาชีพแท้จริงคือเล่นหุ้นโดยทุกวันนี้ยังลอยหน้าคงความเป็นสมาชิกในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้อย่างไร้วี่แววว่าจะมีใครหรือสิ่งใดมากรายกล้ำ

ภายใต้รัฐบาลคสช.เราไร้ความหวังใด ๆที่จะได้เห็นการปฏิรูป ประชาชนคนสามัญไร้อิทธิพลและไม่รวยรวมทั้งข้าราชการชั้นผู้น้อยในประเทศนี้กำลังประจักษ์แก่ตาสะสมความรู้สึกว่าเราก็ยังเป็น“พลเมืองชั้นสอง” แบบเดิม ๆนั่นเองบ้านเมืองไร้การปฏิรูปใด ๆ แล้วยังไม่พอดัชนีคอรัปชั่นยังเพิ่มขึ้นอีกด้วยซ้ำไป ซึ่งเป็นความรู้สึกที่บั่นทอนทำให้เป็นทุกข์อย่างยิ่งกันทั้งบ้านทั้งเมือง

 เป็นโอกาสดีในวันมาฆปุณณมี ที่จะบอกคณะนายทหารผู้เข้ามายุติสภาพการเมืองการปกครองที่ระส่ำระสายเสียจนเสี่ยงต่อการเป็นรัฐล้มเหลวในช่วง พ.ศ. ๒๕๕๖-๗ ว่าพลเมืองไทยในขณะนี้ต้องการมากกว่าได้รับคืน "ความสุข" ความสงบตามสัญญา

ในฐานะรัฐบาลคสช. จะต้องทำมากกว่าปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุขคืนความสุขความสงบแต่จะต้องเดินหน้าไปสู่ความปรารถนาช่วยประชาชนพลเมืองไทยพ้นทุกข์ด้วยดังคำกล่าวว่ารัฐบาลมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุข

ทั้งทุกข์เศรษฐกิจทุกข์การเมืองการปกครองที่ยังดำรงอยู่โดยเฉพาะทุกข์ไร้หลักนิติธรรมไร้ความเสมอภาคในการใช้กฎหมายที่มาจากระบบราชการไทยและคณะผู้บริหารบ้านเมืองชุดนี้ซึ่งก็เดินออกมาจากระบบราชการ(ทหาร)และเข้ามาใช้อำนาจควบคุมทั้งทหารและพลเรือนผ่านระบบราชการแบบเดิม ๆนั่นเอง

ชาวพุทธที่พยายามปฏิบัติพรหมวิหารธรรมย่อมรู้ว่าการปรารถนาทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ (กรุณาธรรม) หมายถึงอาจต้องเสียความสุขสบายของตนเองไปหรือยอมลำบากเป็นทุกข์เสียเองในการปลดเปลื้องทุกข์ของผู้อื่น

ในทางสร้างสมบารมีกรุณาธรรมปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ เป็นธรรมสูงขึ้นกว่าและปฏิบัติได้ยากกว่าเมตตาธรรม ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข

อย่างเช่นในกรณีคนเจ็บคนป่วยอาจต้องลำบากสละตัวสละเวลาสละทรัพย์สละคนในครอบครัวเราให้ไปช่วยดูแลปรนนิบัติเขาให้คลายทุกข์ที่กำลังเผชิญอยู่

ทุกข์ของคนถูกรังแกไม่ได้รับความยุติธรรมผู้เขียนตีความว่าการแผ่ “เมตตา” ปรารถนาให้เขาเป็นสุขเป็นธรรมขั้นแรกขั้นต่อไปคือกรุณาธรรม ที่ต้องปรารถนาปลดเปลื้องผ่อนคลายทุกข์ของเขาจากการถูกรังแกถูกเลือกปฏิบัติตลอดจนความรู้สึกคับแค้นใจที่ได้รับพร้อมกับสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นเพื่อเขาและพลเมืองทั่วไปได้รับความมั่นใจความมั่นคงได้รับความสุขที่เป็นรูปธรรม

หากจะต้องเบียดบัง “ความสุข” ของตนเองบ้างในการมีกรุณาธรรมอาจต้องลำบากกายลำบากใจบ้างผู้สัญญาจะคืน “ความสุข”ก็ต้องยอม

ถึงขั้นต้องสละตนเพื่อสั่งสมบารมีดังอุทาหรณ์เรื่อง ฤาษีสุเมธาผู้ทรงพลังที่ต้องยอมทอดกายของตนเป็นสะพานให้ทีปังกรพระพุทธเจ้าผู้กำลังเสด็จผ่านมาทางนั้นที่ยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซมให้พระองค์สามารถเสด็จดำเนินไปได้ท่านหัวหน้าคสช.ก็ต้องทำในเมื่ออาสามาใช้อำนาจและทรัพยากรภาษีของรัฐเพื่อการนี้แล้ว

พลเมืองไทยคงจะคลายทุกข์ไปบ้างจากการไร้หลักนิติธรรมไร้ความเสมอภาคในการใช้กฎหมายหากข้าราชการตำรวจ ทหารที่ต้องสงสัยและเป็นผู้กระทำผิดโดยเฉพาะเมื่อความผิดอาญาหรือในทางจริยธรรมปรากฏแล้ว ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับประชาชนพลเมืองทั่วไปที่กระทำผิดหรือต้องสงสัยการนิ่งเฉยรอไปก่อนรอกระบวนการศาลก่อนหรือแค่ย้ายผู้กระทำผิดไปๆมาๆเด้งเข้าเด้งออก “ส่วนกลาง” แล้วก็คืนสู่ที่เดิมเผลอๆได้เลื่อนตำแหน่งอีกแล้วก็ลอยนวลพ้นผิดไปเลยอย่างนี้เป็นการสร้าง “ทุกข์”อย่างใหญ่หลวงให้คนทั้งประเทศ

อาจจะยังไม่สายเกินไปท่านหัวหน้า คสช. ที่ได้พิสูจน์ตนให้เห็นมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับว่าท่านสร้างสั่งสมบารมีได้เพียง เมตตาธรรมในขณะที่บ้านเมืองเดินมาถึงขั้นที่เรียกร้องให้ท่านต้องแสดง กรุณาธรรม โดยพลัน

โปรดรับรู้ด้วยว่าทุกข์ของพลเมืองที่รู้สึกว่าตนเองเป็นพลเมืองชั้นสอง คือทุกข์ของแผ่นดิน

ความเพียรที่จะคลายทุกข์ปลดเปลื้องทุกข์นี้จะเป็นการคืนสุขที่สร้างสม“บารมี”ให้ผู้ปฏิบัติอย่างยิ่ง.