โตแน่นอน

โตแน่นอน

หลังประเทศไทยของเราเริ่มฟื้นตัวจากการจมอยู่ในปัญหาการเมืองได้ประมาณ 3 ปีเศษ ดูอัตราการส่งออกที่เติบโตเป็น 10%

ตลาดหลักทรัพย์โต 22% ท่องเที่ยวโต 10% ตลาดรถยนต์ และค้าปลีกก็โตขึ้นทั้งหมด และมีจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 35 ล้านคน มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจนมาเพื่อช่วยคนที่ยังมีรายได้น้อย ซึ่งเป็นการช่วยแบบที่นอกจากจะช่วยผู้รายได้น้อย แล้วยังถือว่าช่วยผู้ประกอบการในทางอ้อมอีกด้วย เพราะเท่ากับเป็นการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน 

เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวนกได้ประโยชน์ทั้งฝูงเลย แถมปีหน้าการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐก็ขยับเพิ่มขึ้น ระบบรถไฟฟ้า ส่วนที่ขยายอีกหลายสายก็เริ่มทยอยเสร็จเพิ่มขึ้น รถไฟความเร็วสูงไปภาคอีสานก็ลงมือช่วงแรกไปแล้ว และรถไฟทางคู่ก็กำลังจะเริ่มก่อสร้าง ระบบถนนก็ทยอยเสร็จไปบางส่วน อย่างทางด่วนส่วนที่ขยายไประยองก็คืบหน้าไปมาก คาดว่าจะเปิดให้ใช้กันในปี 2562 หรืออย่างสนามบินภูเก็ตก็ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศโฉมใหม่พร้อมรองรับผู้โดยสารจำนวนมากขึ้น เรียกว่า ผมมองเห็นอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนไปของประเทศเราเลย และนี่แหละคือการชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจกลับมาเติบโต

การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ เราอาจจะเริ่มเห็นผลกระทบที่มากขึ้นจากการเข้ามาของธุรกิจใหม่ๆ และส่งผลกระทบกับธุรกิจดั้งเดิม เช่น หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารที่ทยอยปิดตัวกันไป อย่างปฏิทินที่เป็นยอดขายของบรรดาโรงพิมพ์หรือได้รับแจกทุกปีใหม่ เราก็ได้รับมันน้อยลง หรือลองสังเกตจำนวนปั๊มน้ำมันตอนนี้สิครับ เริ่มจะหายากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเจ้าของขายที่ทำคอนโดกันหมด และในอนาคตรถไฟฟ้าก็จะมาแทนที่ ทำให้ผู้ประกอบการด้านน้ำมันต้องเริ่มเปลี่ยนมาทำธุรกิจอื่นๆ ที่เรียกว่า Non-oil กันเพื่อปรับตัวก่อนที่จะแย่

แล้วทีนี้คุณจะหาประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร

ผมเชื่อว่า โลกวันนี้มีโอกาสอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด เพราะทุกวันนี้การทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีทุนแบบเดิมๆ อย่างที่เคยสอนกันมาว่าต้องมีเครื่องจักร ต้องมีที่ดิน ต้องมีคน โดยเครื่องจักรอาจจะเป็นแค่คอมพิวเตอร์หรือมือถือเครื่องเดียวคุณก็ขายของได้ ไม่ต้องมีสำนักงาน เพราะคุณสามารถนั่งทำงานตรงไหนก็ได้ จะบนชายหาดหรือในชนบทได้หมด ถ้ามีอินเทอร์เน็ต เมื่อธุรกิจคุณมีแนวคิด หรือมีแผนธุรกิจที่น่าสนใจก็จะมีคนที่จะก้าวเข้ามาหยิบยื่นทุนแบบที่เราอาจจะไม่ต้องกู้เงินอีกต่อไป คำว่า Manpower นี้น่าสนใจมากครับ หลายธุรกิจมีคนทำงานให้โดยไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักร อย่าง Uberเขาทำแค่แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ที่เหลือคือมีคนขับรถยนต์มาเข้าร่วมแบบที่ Uberไม่ต้องจ้าง และยังสามารถขยายธุรกิจไปได้ทั้งโลก สุดยอดเลยไหมครับ หรืออย่าง Ookbeeก็เข้ามาทำธุรกิจแทนสำนักพิมพ์ และโรงพิมพ์ โดยที่ไม่ต้องมีนักเขียน ไม่ต้องมีโรงพิมพ์ ไม่ต้องมีหน้าร้านก็ขายหนังสือได้

ไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ คืออยู่คอนโด เดินทางโดยรถไฟฟ้า รักสุขภาพ ชอบออกกำลังกาย แถมถนนหลายเส้นในกรุงเทพของเราก็สวยขึ้น เพราะสายไฟก็ทยอยเอาลงดินกันหมดแล้ว ซึ่งมันก็คือโอกาสของร้านค้าตึกแถวจะกลับมาอีกครั้ง จากสมัยก่อนที่ร้านค้าตามตึกแถวเจอปัญหาหนัก เพราะลูกค้าไม่มีที่จอดรถเลยหันมาซื้อของที่ช้อปปิ้งมอลล์กันหมด เพียงแต่ปรับโฉมร้านค้าห้องแถวให้น่าดู สวยงามสักหน่อย มันก็จะกลับมาเกิดใหม่ได้อย่างแน่นอนครับ รูปแบบการใช้ชีวิตแบบนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นและเติบโตแน่นอน ยิ่งคนใช้รถไฟฟ้ามากเท่าไร ร้านค้าเล็กๆ ก็จะกลับมาเกิดขึ้นเท่านั้น ยิ่งประกอบกับเทรนด์รักสุขภาพ คนต้องการออกกำลังมากขึ้น การเดินจึงไม่ใช่ปัญหาอุปสรรคอีกต่อไป ในประเทศที่ใช้รถไฟฟ้ากันเป็นหลัก ร้านค้าข้างถนนคือแหล่งช้อปปิ้งครับ แม้กระทั่งแบรนด์ใหญ่ๆ ก็อยู่เรียงรายกันตามถนนครับ มีประเทศไทยล่ะครับทีอยู่แต่ในห้าง แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่เกิน 2 ปีเราคงได้เห็นแบรนด์ใหญ่ลงตามตึกแถวแน่นอน

สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังบอกเราว่า โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแบบที่คุณต้องปรับตัวตลอดแทบจะทุกวินาที ดังนั้น สิ่งที่คนทำธุรกิจต้องมองหาคือ เทรนด์ครับ เรียนรู้ ปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ได้โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนนะครับ