พรรคการเมืองต้องมีนโยบายข้าว

พรรคการเมืองต้องมีนโยบายข้าว

ข้าวกำลังราคาดีและราคากำลังขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี น่ายินดีอย่างยิ่งหลังจากไทยเราเสียหลักมาหลายปี

เนื่องจากนโยบายจำนำข้าวที่ผิดพลาด และปัจจัยในตลาดโลกที่การผลิตข้าวมีมาก  

ในปีนี้เวียดนามผลิตข้าวได้น้อยลง ความต้องการข้าวยังเพิ่มขึ้นอีกจากประเทศตะวันออกกลาง

ที่ดียิ่งกว่าราคาข้าวขึ้นสูงก็คือ ชาวนาเรียนรู้เปลี่ยนพฤติกรรมการขาย เพราะมีอำนาจต่อรองมากขึ้น จะด้วยเนื่องจาก เงินอุดหนุนการเกษตร เช่น มาตรการสินเชื่อชะลอขายข้าว มาตรการให้สินเชื่อกลุ่มสหกรณ์ กลุ่มสถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้าวจากชาวนา นำมาแปรรูปโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับโรงสีข้าว เพื่อรวบรวมข้าวจากเกษตรกรในอัตรา 3% กำหนดให้เก็บข้าวไว้ในสต็อก 2-6 เดือน และสวัสดิการด้านสุขภาพด้านการศึกษาทั้งหลาย ที่เข้าไปพยุงชาวนาลดแรงกดดันการต้องขายเอาเงินสดทันทีเหมือนแต่ก่อน รวมทั้งการมีหูตาไวติดตามข่าวสารรวดเร็ว ก็สุดแล้วแต่จะไปวิเคราะห์กัน

แม้ชาวนาที่ต้องเช่านา ทั้งเพราะไม่มีนาของตัวเอง (3 ใน 4 ของคนไทยไม่เป็นเจ้าของที่ดินใดเลยไม่ใช่เฉพาะชาวนา โฉนดที่ดินกว่า 61% ในประเทศไทยอยู่ในมือประชากร 10% ที่รวยที่สุด) และเช่าเพราะอยากทำมากขึ้น ก็เริ่มเรียนรู้เจรจากับเจ้าของที่ดินว่าถ้าไม่เร่งค่าเช่า จะเก็บข้าวเปลือกรอเอาราคาสูงขึ้นด้วยกันไหม นี่หมายถึงชาวนามีและรักษายุ้งฉางไว้ได้

ส่วนชาวนาที่ได้รื้อยุ้งฉางไปแล้วเพราะชอบจำนำ “ทุกเมล็ด” เอาเม็ดเงินมาใช้ดีกว่า ในวันนี้ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า แต่ยังไม่ถึงกับสิ้นหวังเพราะมีมาตรการให้เงินเปล่าช่วยเหลือเกษตรกรเป็นค่าเก็บข้าวขึ้นยุ้งฉาง หรือค่าฝากเก็บตันละ 1,500 บาท

ความตื่นตัวในเรื่องการผลิตการจำหน่ายของชาวนาที่พัฒนาขึ้นตั้งแต่ในช่วงท้ายๆ ของนโยบายจำนำข้าวที่มีปัญหามากมาย ตลอดจนการปรับตัวของพ่อค้าข้าว และโรงสี ที่ในปีนี้ซื้อข้าวราคาสูง ตามราคาที่สูงขึ้นในตลาดโลก รวมทั้งรู้ว่าชาวนามีอำนาจต่อรองสูงขึ้นเช่นนี้ ก็ต้องนับว่าภาครัฐและคสช.ทำงานแก้เกมเรื่องข้าวสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้ดีพอควรทีเดียวในเวลาเพียง 3 ปี

เหล่านี้เป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่ควรปล่อยผ่านไปอย่างไร้ค่า ไม่หยุดอยู่แค่เพียงคำตัดสินของศาลคดีเกี่ยวข้องนโยบายจำนำข้าวและการติดตามเอาคนหนีคุกมาเข้าคุก ควรจะได้มีการสรุปบทเรียนให้สังคมได้รับรู้ในทุกระดับ และผลักดันต่อไปทางนโยบาย โดยเฉพาะการประสานกัน ระหว่างโรงสีและชาวนาตามที่รมช.เกษตรฯ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร แถลงไว้ ไม่เสี้ยมให้เขามองกันเป็นศัตรูแล้วปล่อยให้พรรคการเมืองอาสาเข้ามา “แก้ไข”ดังที่ผ่านๆ มา

ทั้งคสช. พรรคการเมืองและว่าที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ควรจะนำเสนอนโยบายข้าวกับสาธารณชน ชี้แจงถกเถียงกันในทางนโยบายให้สาธารณชนได้หูตาสว่างร่วมฉลาดไปด้วย เป็นการให้ความรู้ยกระดับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และคุณภาพประชาธิปไตย

แทนที่จะมาป่าวร้องกันแต่เรื่องปลดล็อกหรือไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง เรื่องแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน ยืมเรือดำน้ำได้ไหมโดยไม่ต้องซื้อ เหล่านี้ทำเพื่อตรวจสอบก็ดีไป แต่ย่ำเท้าเพื่อส่อเสียดเอามันสร้างความเกลียดชัง ผลที่ได้คือเอาคนนี้ลงไปแล้วก็ได้คนใหม่มา ซึ่งก็มักจะคือคนที่ตั้งหน้าตั้งตาด่าส่อเสียดนั่นเองแหละ วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา ที่ทหารชุดนั้นชุดนี้ปฏิวัติเข้าปฏิวัติออก ทั้งรัฐบาลเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง

 ในที่สุด ระบบประชาธิปไตยไม่มีคุณภาพก็สร้างรัฐบาลเผด็จการงอกขึ้นมาได้ทุกครั้งไปจากรัฐบาลที่ทั้งเลือกตั้งและไม่ได้เลือกตั้งมา

คุณภาพของผู้เลือกตั้ง และกลไกการตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตย ที่มีคุณภาพต่างหากเล่า ที่จะเป็นยาแก้เผด็จการที่ชะงัดและถาวรกว่า โทษใครไม่ได้ถ้าระบอบประชาธิปไตยของเราเป็นมาอย่างที่เป็น จนกระทั่งมาเป็น “ประชาธิปไตยไทยนิยม” อย่างที่ได้ยินกันอยู่นี่ จะไทยนิยมหรือทหารนิยม ป่วยการถกเถียงเรื่อง แบรนดิ้ง (branding)ส่อเสียดกันไปมา

ทุกพรรคและทุกกลุ่มทุกคนที่เสนอตัว จงเสนอนโยบาย เอาแต่เนื้อๆ เรื่องข้าว ยางพารา พลังงาน เทคโนโลยี การประกันสุขภาพถ้วนหน้า สื่อ สิทธิเสรีภาพของประชาชน การค้ามนุษย์ ความมั่นคง(ซึ่งมีทั้งการทหารและความมั่นคงด้านอื่น) สิ่งแวดล้อม

ดูสิว่า จะมีพรรคไหนที่ตกยุคลุกมาเสนอนโยบายจำนำข้าว สัญญาจะทำชลประทานส่งน้ำให้ทำนาปรัง 2-3 ครั้งต่อปี

-จะเสนอและตอบคำถามเรื่องพลังงาน เรื่องปิโตรเลียมอย่างไร

-จะเสนอทางออกใดให้นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า

- จะสะสางทางนโยบายที่อำนวยให้ตำรวจเลือกใช้กฎหมายจนเละตุ้มเป๊ะไปหมดอย่างไร เนื่องจากการมี พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2503 พรบ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 286 ปรากฏการณ์นาตารี และ วิคตอเรีย เดอะ ซีเคร็ท ฟอร์เอเวอร์ เป็นแค่ “น้ำจิ้ม”

โดยหลักการ ในเมื่อกฎหมายให้ตั้งสถานบริการได้ กฎหมายแรงงานก็ต้องคุ้มครองพนักงานและตั้งสหภาพแรงงานได้ ไม่ใช่ 2-3 มาตรฐานอย่างที่เป็นอยู่

ส่วนการบังคับข่มขืนใจค้าประเวณีอายุเท่าไรเพศใดผิดทั้งนั้นรวมทั้งคนซื้อประเวณี โทษหนักขึ้นหากเหยื่อต่ำกว่า 18 เพราะเป็นผู้เยาว์ที่อายุเกิน 18 และสมัครใจทางนโยบายจะเอาไง จะบ้าจี้เอาผิดผู้ซื้อถ้วนหน้าตามโมเดลรัฐสวัสดิการสวีเดนไหวหรือ?

แม้แต่เรื่องแหวน มารดานาฬิกาเพื่อน คสช.อย่าสื่อสารทางเดียว ไม่ใช่ทุกคนจะอยากเสียเวลาฟังเรื่องงี่เง่าซ้ำซาก หากมีทางเลือกฟังนโยบายที่มีสาระมากกว่าในด้านอื่นดังกล่าวข้างต้น ด้วยการเปิดกว้างในการจัดเวทีสาธารณะ จัดแล้วก็เผยแพร่ต่อทางเว็บไซต์ ยูทูบ โซเชียลมีเดีย จะเป็นคุณูปการแก่ประชาธิปไตยไทยอย่างยิ่ง

หากมีการคัดเลือกผู้พูดผู้เข้าฟังในบางเวทีด้วยวิธีศิวิไลซ์ก็ไม่ว่ากัน มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน