คาตาโลเนียไม่ใช่สเปน - แต่ไม่มีสิทธิเอกราช! (2)

คาตาโลเนียไม่ใช่สเปน - แต่ไม่มีสิทธิเอกราช! (2)

Carlos V ทรงประสูติและเจริญเติบโตในเนเธอร์แลนด์ และกลายเป็นผู้ที่ทรงอำนาจมากที่สุดในยุโรปในปี 1520

เนื่องจากทรงปกครองพระราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล ตั้งแต่ Austria, Italy, Spains, Hungary (ซึ่งครอบคลุมโครเอเชีย และ Dalmatia), Germany, Burgundy (เนเธอร์แลนด์), West and East Indies, Jerusalem, Tripoli, Castile, Aragan, Catalonia and the Mainland and Islands of the Ocean Sea (อาณานิคมในอเมริกาทั้งหมด)

ด้วยเหตุที่พระราชอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล พระองค์จึงแบ่งการปกครองออกเป็น 5 ส่วน คือ เยอรมนี Castile, Crown of Aragon ซึ่งรวม Italy, เนเธอร์แลนด์ และ อเมริกา แต่ละส่วนมีผู้สำเร็จราชการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาดออกไป อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1550 พระองค์ทรงสละราชสมบัติของดินแดนเยอรมันนีให้แก่พระอนุชา และบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนเธอร์แลนด์ และดินแดนอเมริกาทั้งหลาย ให้แก่พระโอรส Felipe

Felipe II ครองราชย์ปกครอง Castile, Aragon, Italy และ Netherland ต่อมาในปี 1556 พระองค์ทรงถูกจดจำในสองเหตุการณ์ที่สำคัญคือ การประกาศเอกราชของ Netherland ในปี 1581 และความย่อยยับของกองเรือ Arrnada ต่ออังกฤษในปี 1588 พระองค์ยังทรงเป็นผู้ริเริ่มการสร้างพระราชวัง El Escorial ในกรุงแมดริดซึ่งรับช่วงต่อมาโดยกษัตริย์ในภายหลังอีกหลายรัชกาล นอกจากนั้นยังมีการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่น ๆ รอบ ๆ มาดริด

Felipe IV ขึ้นครองราชย์โดยรับเอาสงครามที่เริ่มในปี 1618 ซึ่งจะต่อเนื่องไปอีก 30 ปี และทำให้การเก็บภาษีเพื่อสนับสนุนสงครามขยายวงจาก Castile ไปยังรัฐอื่น ๆ ภายใต้ปกครอง ทั้งๆ ที่ทองจากอาณานิคมไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง วิกฤติการคลังที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวต่อเนื่องมาตั้งแต่ Felipe II ก็ด้วยความทะเยอทะยานต่อสงครามที่มากเกินไป

แม้ว่า Catalonia จะยังคงเป็นอิสระโดยหลักการ แต่ Corts หรือสภาท้องถิ่นได้รับการปรึกษาจากกษัตริย์ หรือผู้สำเร็จราชการจาก Castile น้อยลงเรื่อย ๆ

ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของ Ferdinand ในปี 1516 ยิ่งเมื่อ Catalonia ประสบกับโรคระบาด การเพาะปลูกเสียหาย และ การค้าระหว่างประเทศตกต่ำลงเนื่องจากทำเลของฝั่งแอตแลนติกที่ดีกว่า ด้วยการติดต่อกับยุโรปเหนือและอเมริกาที่ Catalonia ถูกห้ามไว้ เศรษฐกิจจึงเลวร้ายลงเรื่อย ๆ

มิหนำซ้ำ Felipe IV ยังประกาศใช้ Union of Arms ในปี 1626 ที่บังคับให้ดินแดนภายใต้ปกครองส่งทหารเกณฑ์เข้าร่วมในสงคราม 30 ปี ที่มากเกินไปเนื่องจากการประเมินจำนวนประชากรที่ผิดพลาด

ชาว Catalans ในชนบทจำนวนมาก จึงลุกขึ้นต่อสู้กับทหาร Castile เหตุการณ์เข้าสู่จุดสูงสุดในวันที่ 7 มิ.ย. 1640 ใน Barcelona  ที่ Corpus Christi Pau Claris

ประธานของ Generalitat หรือฝ่ายบริหารจึงประกาศเอกราชจาก Castile และขอขึ้นกับฝรั่งเศสในฐานะรัฐอิสระ แต่ด้วยการเสียชีวิตของ Pau Claris การสิ้นพระชนม์ของ Louis XIII และ การทำสัญญาสงบศึก Treaty of Westphalia Castile จึงทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าปราบปราม Catalonia จนยอมแพ้ในปี 1653 Roussilon กับอีก 3 เมือง ถูกตัดให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกกับดินแดนบางส่วนของ Flanders ที่ฝรั่งเศสคืนให้ โดยที่ Catalonia ไม่อาจมีส่วนร่วมเลย

โปรตุเกสโชคดีที่สามารถแยกตัวออกไปในปี 1668 แต่ Crown of Aragon ยังคงอยู่ต่อไป

Carlos II ที่ครองราชย์สืบต่อจาก Felipe IV สิ้นพระชนม์ในปี 1700 โดยไม่มีรัชทายาท Philip of Anjou พระราชนัดดาของ Louis IV แห่งฝรั่งเศสซึ่งทรงอภิเษกกับ Maria Theresa แห่ง Austria และเป็นพระโอรสของลูกพี่ลูกน้องของ Carlos II เป็นรัชทายาทพระองค์หนึ่ง Charles of Austria ซึ่งก็เป็นพระโอรสของลูกพี่ลูกน้องของ Carlos II เป็นอีกพระองค์หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสทำให้สมดุลย์แห่งอำนาจของยุโรปเสียไปพอ ๆ กัน

แต่ในที่สุด Philip of Anjou, ได้ครองราชย์เป็น Felipe IV ในปี 1701 และทำให้เกิดสงคราม Spanish Succession ระหว่างฝ่ายสนับสนุน 2 ฝ่าย คือ ฝรั่งเศสกับออสเตรีย นานถึง 12 ปี

Catalonia เข้ากับฝ่าย Charles of Austria ซึ่งมีพันธมิตรเป็นอังกฤษ ที่ชี้ชวนว่าจะรักษาความเป็นอิสระแห่งการปกครองของ Catalonia และชนะก่อนในเบื้องแรก แต่ Felipe มารุกกลับและชนะในที่สุดในปี 1711 ทำการยกเลิกรัฐธรรมนูญและสิทธิพิเศษของ Aragon ทั้งหมด และประกาศใช้กฎหมายและระบบภาษีของ Castile แทนทั้งหมด

ทั้งนี้ก็ด้วยชะตากรรมอันไม่อำนวยที่ฝ่ายสนับสนุนทั้งออสเตรียและอังกฤษต่างหมดความสนใจด้วยเหตุการณ์ภายในของตนและทำ Treaty of Utrecht ในปี 1713 ที่นำไปสู่การสงบศึกโดยแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางดินแดนซึ่งกันและกัน ออสเตรียได้ดินแดนอิตาลีจากสเปน ส่วนอังกฤษได้ Gibraltar

หลังจาก Treaty of Utrecht Felipe สามารถรวบรวมกำลังที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วยุโรปมา เพื่อปราบปรามกลุ่มต่อต้านที่ยังหลงเหลืออยู่ใน Crown of Aragon ซึ่งมี Mallorca และ Catalonia ด้วยเหตุที่ Felipe IV ถือว่า ในสงครามที่ผ่านมา ฝ่ายตรงข้ามเป็นกบฏ จึงทำการปราบปรามอย่างรุนแรง และปฏิบัติกับเชลยศึกอย่างโหดร้ายที่ Aragon กับ Valencia Catalonia จึงไม่มีทางเลือกนอกจากการต่อสู้จนถึงที่สุด และที่มั่นสุดท้ายอยู่ที่ Barcelona

คาตาโลเนียไม่ใช่สเปน - แต่ไม่มีสิทธิเอกราช! (2)

การล้อม Barcelona เริ่มขึ้นเมื่อ 25 ก.ค. 1713 ฝ่าย Catalonia ก็ต้านทานเป็นสามารถจนถึง 11 ก.ย. 1714 Barcelona ก็แตก

ในปี 1716 Felipe IV ประกาศ Nueva Planta ลบล้างกฎหมายและระบบการปกครองทั้งหมดที่ Catalonia มีมาแต่เดิมและให้ใช้กฎหมายของ Castile แทน Catalonia ถือว่า 11 ก.ย.เป็นวันชาติ

หัวหน้าฝ่ายบริหารของ Castile ใน Catalonia ยังประกาศภาษีที่เรียกว่า Cadastre ซึ่งเป็นเงินสำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายของทหาร Castile ที่มายึดครอง Catalonia นอกเหนือไปจากภาษีต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่แล้ว ชาว Catalans ที่เป็นพลเรือนยังต้องรับภาระการจัดหาที่อยู่และอาหารให้แก่กองกำลัง Castile ที่มายึดครอง นอกจากนี้ภาษา Catalan ถูกห้ามใช้โดยเด็ดขาด

ในปี 1779 Catalonia ได้รับอนุญาตให้ค้าขายกับทวีปอเมริกาได้ ในช่วงปี 1808-1813 สเปนทำสงครามกับนโปเลียนที่รุกเข้ามาในคาบสมุทรและ Fernando VII เสด็จหนีออกนอกประเทศ ในช่วงเวลาข้างต้น ความรู้สึกแปลกแยกกับ Castile ถูกลืมเลือนไปชั่วขณะหนึ่ง

Carlist Wars เป็นสงครามระหว่างพลเรือน 2 ฝ่ายที่ต้องการสนับสนุนเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองราชย์ และอาจมีความแตกต่างของแนวคิดการปกครองร่วมด้วย ครั้งแรกเกิดขึ้นระหว่างปี 1833-1840 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของ Fernando VII ครั้งที่ 2 ระหว่างปี 1846-1876

สงครามทั้ง 3 ครั้งจะมาควบคู่กับการปฏิวัติของฝ่ายทหารเสมอ และมักจะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสมอ ในช่วงไม่ถึง 4 ทศวรรษมีรัฐธรรมนูญ 5 ฉบับ เฉพาะครั้งที่ 1 และ 3 คู่สงครามมีการชักชวนดินแดนของชนกลุ่มน้อยอย่าง Basque กับ Catalonia ให้ทำการสนับสนุน เพื่อแลกเปลี่ยนกับระบบการปกครองเดิม ที่มีความอิสระของตนเอง นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกภายหลังยุคของ Franco

ในเวลานั้น แนวคิดระหว่างชาว Catalans ด้วยกันก็ยังแตกแยกออกเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายแรกต้องการระบบการปกครองที่เป็นอิสระของตนเอง โดยที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองที่มาดริด ฝ่ายที่สองเป็นฝ่ายที่ต้องการมีผู้แทนในสภาและผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหารที่มาดริด

การปกครองส่วนกลางที่มดริดโดยเฉพาะนายพลที่ควบคุมกองทัพในคาตาโลเนีย ที่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปทางใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหลายต่อหลายครั้ง เป็นสิ่งที่ทำให้คาตาโลเนียมีปฏิกิริยาและแนวโน้มในการแยกตัวมากขึ้น

ในปี 1913 การรุกฮือขึ้นต่อต้านจากหลาย ๆ ฝ่ายใน Catalonia ทำให้รัฐบาลกลางยอมฟังและผ่านกฎหมายในปี 1914 ที่อนุญาตให้ท้องถิ่นทั่วไปในสเปน มีสิทธิที่จะรวมกลุ่มกัน เพื่อการบริหารงานส่วนท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ Catalnia เป็นเพียงพื้่นที่เดียวที่มีการใช้สิทธินี้ รูปแบบนี้เรียกว่า Mancomunidades หรือ Commonwealth

แม้ว่าอำนาจที่ได้จะมีจำกัด แต่การพัฒนาใน Catalonia ก็เกิดขึ้นอย่างมากทั้งด้านสาธารณูปโภค การศึกษา และ วัฒนธรรม

อย่างไรก็ดีการต่อสู้ระหว่างชนชั้น นายทุนกับกรรมาชีพ เกิดความวุ่นวายขึ้นจนนำไปสู่การปฏิวัติของนายพลประจำ Catalonia Miguel Primo de Rivera ในปี 1923 และอิสรภาพแห่งการปกครองท้องถิ่นก็หมดไปในระยะเวลาอันสั้น

หลังจากนายพล Rivera ลาออกไปในปี 1930 สเปนก็มีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง และ Catalonia ก็กลับมาปกครองตนเองใหม่ แต่ก็เกิดปฏิวัติอีกครั้งในปี 1936 คราวนี้ฝ่ายบริหารหรือ Genernalitat ของ Catalonia เตรียมการต่อสู้ไว้เป็นอย่างดี แต่ก็พ่ายแพ้ในที่สุดอยู่ดีในปี 1939

คราวนี้ นายพล Franco คือผู้ที่ยาตราทัพเข้าไปใน Barcelona ภาษาและวัฒนธรรม Catolonia จึงกลับไปสู่ยุคมืดอีกครั้งหนึ่ง

Lluis Companys ประธาน Generalitat ถูกยิงเป้า Catalonia ตกอยู่ภายใต้กำปั้นเหล็กของทหารอย่างเข้มงวดจนกระทั่งถึงภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สเปนถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 1946 ด้วยความเป็นเผด็จการของ Franco