วินเนอร์และโมเมนตัม

วินเนอร์และโมเมนตัม

วินเนอร์และโมเมนตัม

สวัสดีปีใหม่ครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงปีใหม่นี้สภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นดูจะสดใสอย่างยิ่งในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดต่างประเทสหรือในประเทศ โดยหลายดัชนีได้ไปทำจุดสุงสุดกันเป็นว่าเล่น ซึ่งก็ต้องนับว่าเป็นการเปิดปีที่ดีจริงๆ และก็เชื่อว่าตลาดน่าจะรักษาโมเมนตัมไปได้อีกสักระยะ หากไม่มีปัจจัยลบอื่นเข้ามาแทรก แต่ก็อย่างว่านะครับการลงทุนมีความเสี่ยง ผมก็อยากย้ำให้ท่านผู้อ่านยังคงยึดหลักการกระจายความเสี่ยง ศึกษาและติดตามข้อมูลการลงทุนให้ดีนะครับ

เมื่อเดือนที่แล้วผมได้เขียนสรุปผลตอบแทนของตลาดหุ้นและสินทรัพย์อื่นๆ วันนี้ผมอยากเพิ่มเติมในรายละเอียดของสินทรัพย์หรือธีมการลงทุนที่ถือว่าร้อนแรงมากๆ ในปีที่ผ่านมา หรือเรียกว่าเป็นวินเนอร์ในบรรดาสินทรัพย์ลงทุนทั้งหลาย และน่าจะเห็นโมเมนตัม หรือเรียกว่ายังรักษาความน่าสนใจลงทุนไปได้อีกระยะหนึ่ง

เริ่มจากตลาดแรกที่เป็นวินเนอร์และดูเหมือนจะยังคงรักษาระดับแชมป์ไว้ได้ คือตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งสร้างผลตอบแทนสูงถึง 35% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และยังมีโมเมนตัมโดยการบวกต่อ ตั้งแต่ต้นปีมาอีก 6.7% จนทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน โดยปีที่แล้ว บลจ.ซีไอเอ็มบี นำร่องออกกองทุนที่ไปลงทุนตรงในตลาดหุ้นประเทศเวียดนามโดยมียอดขายที่สวยงาม และเมื่อเร็วๆนี้ทางด้าน บลจ.แอทเสทพลัส ก็ปล่อยกองทุนที่มีการกระจายการลงทุนไปทั้ง อีทีเอฟ กองทุนรวมและหุ้นในประเทศเวียดนาม ถือว่าเป็นการจับกระแสความร้อนแรงในช่วงนี้ได้ อีกบลจ. ที่แอบมาเงียบๆ คือกองทุน CLMV ของ บลจ. กรุงไทย ซึ่งเปิดมานานแล้ว โดยมีนโยบายลงทุนในหุ้นไทยที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของประเทศ กัมพูชา ลาว เวียดนามและพม่า และแบ่งการลงทุนบางส่วนไปลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเวียดนาม

อีกกลุ่มที่ในอดีตเคยเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากแต่พอตลาดหุ้นเริ่มเกิดวิกฤติก็แผลงฤทธิทำให้นักลงทุนเข็ดขยาด ล่าสุดก็เริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีมา คือหุ้นกลุ่มประเทศ BRIC หรือหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ 4 ประเทศคือ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และไชน่าหรือจีน โดยมีผลตอบแทนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ตามลำดับดังนี้ บราซิล 21.3% รัสเซีย 15.4% อินเดีย 8% จีน (China A50) 19.6% และยังสามารถรักษาโมเมนตัมต่อเนื่องได้ดีเช่นเดียวกับเวียดนาม โดยมีผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ บราซิล 3.9% รัสเซีย7.2% อินเดีย 1.6% และจีน 6.4% โดยบราซิลและอินเดียได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการรีฟอร์มระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่รัสเซียได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านจีนเองแม้จะมีข่าวบวกสลับลบแต่นักลงทุนยังให้ความสนใจต่อปัจจัยบวกมากกว่า ซี่งถ้าท่านผู้อ่านสนใจก็สามารถเลือกกองทุนที่เน้นการลงทุนใน 4 ประเทศนี้ซึ่งมีอยู่หลาย บลจ ด้วยกัน

หุ้นวินเนอร์อีกตัวหนึ่งคือตลาดหุ้นประเทสญี่ปุ่นซึ่งแม้หลังๆ อาจได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นแต่ที่ผ่านมานักลงทุนยังเชื่อมั่นในแผนปฏิรูปของนายกรัฐมนตรี อาเบะ โดยเฉพาะด้านภาษีทำให้ตลาดหุ้น ญี่ปุ่นโดยเฉพาะหุ้นที่มีขนาดกลางและเล็ก JP Small Cap ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.4% และ 3.6% ในช่วง 6 เดือนและตั้งแต่ต้นปี ตามลำดับ ซึ่งถ้าท่านผู้อ่านสนใจลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ก็สามารถศึกษาข้อมูลจากกองทุนรวม UOB Smart Japan Small and Mid Cap ของบลจ ยูโอบีได้ครับ

นอกจากหุ้นที่เป็นวินเนอร์ของประเทศต่างๆที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีหุ้นอีกสองเซ็คเตอร์ที่ร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา และยังคงรักษาโมเมนตัมได้ในช่วงสั้นๆ ต่อไปได้ กลุ่มแรกคงหนีไม่พ้นหุ้นกลุ่มพลังงานโลก โดยผลตอบแทนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวไปถึง 20.6% และต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปีทำไปอีก 6.3% ทั้งนี้ก็เป็นไปตามกระแสการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนี WTI ปรับตัวขึ้นไปถึง 38.2% และ 6.4% ในช่วงเดียวกัน หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาได้แก่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี่ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนในช่วง 6 เดือนและ ตั้งแต่ต้นปีที่ 18.2% และ 4.8% ตามลำดับ ก็ต้องยอมรับว่าธีมของกลุ่มเทคโนโลยี โรบอท และสื่อการขายออนไลน์ต่างๆ ยังคงเป็นกระแสบวกอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมีกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามตลาดต่างๆ ทั่วโลกคือ กองทุน KFGTECH ของ บลจ.กรุงศรี และจากกระแสดังกล่าวทำให้ในปีที่ผ่านมามีบลจ. ออกกองทุนย่อยออกมาตอบสนองความต้องการของนักลงทุน เช่น กองทุน โรบอท จาก บลจ.แอทเสทพลัส และ บลจ.ไทยพาณิชย์ โดยจับกระแสธีมการเติบโตของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ที่จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมต่างๆ และในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ 

ท้ายสุดนี้ ผมก็ขอให้ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านโชคดีและมีความสุขกับการลงทุนครับ