บิทคอยน์ ลงทุนอย่างไร รู้ก่อนได้เปรียบกว่า

บิทคอยน์ ลงทุนอย่างไร รู้ก่อนได้เปรียบกว่า

บิทคอยน์ ลงทุนอย่างไร รู้ก่อนได้เปรียบกว่า

นาทีนี้การลงทุนในที่ฮ็อตที่สุด คงไม่พ้นจากบิทคอยน์ ล่าสุด ณ ขณะที่เขียนต้นฉบับนี้ ราคา New High ใหม่พุ่งไปถึง 650,000 บาท ต่อ 1 BTC เรียบร้อยแล้ว

บิทคอยน์เป็น Crypto Currency (สกุลเงินดิจิตอล) สกุลแรกของโลก ที่เกิดจากเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้การทำธุรกรรมการเงินระหว่างกันไม่จำเป็นต้องมี “ตัวกลาง” เหมือนแต่ก่อน ดังเช่นที่เราเคยเห็นบนบัตรเครดิตว่า Verified by (ตามด้วยชื่อตัวกลาง) โดยตัวกลางทำจะทำหน้าที่ตรวจสอบ ดูแลความปลอดภัย และส่งข้อมูลระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการทำธุรกรรมผ่านตัวกลางจะมีต้นทุนที่สูง อย่างที่เราทราบกันดีว่าร้านค้าบางร้านจะชาร์จเงินลูกค้าเพิ่มหากมีการจ่ายโดยบัตรเครดิต

ข้อดีของ Blockchain จะตัดตัวกลางออกและทำให้เกิดการยืนยันและยอมรับจากทุกคนในเครือข่ายกันได้โดยตรง ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าระบบเดิมในแง่ถ้าหากกระบวนการทำงานของตัวกลางมีข้อผิดพลาดเพียงที่เดียว ธุรกรรมนั้นๆ ก็จะพลาดทันที แต่ระบบ Blockchain ซึ่งเหมือนกับมีผู้ตรวจสอบเป็นล้านๆ ราย อัตราความเสี่ยงต่อความผิดพลาดของผู้ตรวจสอบพร้อมกันทั้งล้านรายย่อมน้อยมาก นอกจากนี้การส่งธุรกรรมผ่านระบบ Blockchain ยังมีประสิทธิภาพสูง รวดเร็ว และต้นทุนหรือค่าธรรมเนียมต่ำอีกด้วย เพราะเกิดจากการที่ผู้ตรวจสอบในระบบช่วยๆ กันหลายๆ แห่ง จึงทำให้บิทคอยน์ หรือเงินสกุลดิจิตอลอื่นๆ ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดการให้คุณค่าและเริ่มมีผู้ลงทุนในบิทคอยน์ ไม่ต่างจากการลงทุนในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน (Forex) ที่มีมานาน

ผมมองว่าการเล่นบิทคอยน์เป็นการลงทุนชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างอะไรกับการเล่นทองหรือเล่นพระ เพราะเป็นการลงทุนในวัตถุชนิดหนึ่งที่มีกลุ่มคนจำนวนมากให้คุณค่า บางคนอาจมองว่าบิทคอยน์จับต้องไม่ได้ เป็นเพียงชุดโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากมองในแง่นั้นซอฟต์แวร์หรือตัวเลขขึ้นบนบัญชีจากการเทรดทองโดยยังไม่ได้แลกออกมาเป็นแบงค์หรือเหรียญก็ถือว่าเป็นชุดโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์เช่นกัน แต่ซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อน License มูลค่าเป็นหลักล้านบาทก็มี และบิทคอยน์เองในปัจจุบันนี้ก็แลกออกมาเป็นแบงค์ใช้จ่ายได้โดยผ่านการเทรด และในเชิงสถิติแล้ว ถือว่าความเสี่ยงต่ำกว่าหวยที่บ้านเราเล่นกันอย่างแพร่หลายเพราะหวยคือการใช้โชคล้วนๆ เปอร์เซนต์ในการทายถูกต่ำมาก และถ้าเสียหวยแล้วเงินต้นก็เป็นศูนย์เลย แต่บิทคอยน์เราสามารถคาดคะเน Demand-Supply ได้ตามหลักสถิติ สามารถติดตามข่าวสารเศรษฐกิจเพื่อวิเคราะห์ และเล่นในเชิงเทคนิค เพื่อทำกำไรจากการ “ซื้อต่ำ-ขายสูง” ได้ และตามหลักแล้วแม้เป็นขาลงมากๆ มูลค่าก็ไม่ลงไปถึงกับเป็นศูนย์

ตามหลักวางแผนการเงิน การลงทุนในสินทรัพย์ที่ “High Risk, High Return” โดยเฉลี่ยไม่ควรเกิน 3-5% ของทรัพย์สินที่มี เพราะเป็นปริมาณที่หากขาดทุนมาก หรือแม้หากถึงขั้นสูญเสียหมด ก็ไม่กระทบกับฐานะการเงิน แต่หากได้กำไร อาจมีมูลค่าเพิ่มมากถึง 5-10 เท่า เทคนิคส่วนตัวของผมคือเก็บเงิน 3-5% ทุกเดือนนำไปลงในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง หรือเอากำไรบางส่วนที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ มาลงทุนในความเสี่ยงสูงต่อ พอได้ทุนคืนก็ถอนทุน และปล่อยให้เงินทำงานต่อของมันไป กล่าวคือต้องมี “วินัยในการลงทุน” โดยใช้ “เงินเย็น” เท่านั้น “ห้ามโลภ” อย่างเด็ดขาด ถ้าทำได้อย่างนี้ เราจะสามารถตัดสินใจได้อย่างเยือกเย็น มีความสุขในยามตลาดขาขึ้น และไม่มีอารมณ์มาเกี่ยวข้องในยามตลาดขาลง

แล้วอนาคตของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไร?

เรียนตามตรงว่าก็คงได้แต่ทายกันจริงๆ ล่ะครับ เพราะขนาดนักเศรษฐศาสตร์ นักลงทุนระดับโลก หรือแม้กระทั่งปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังทำนายผลการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ถูกกันโดยเฉลี่ยได้เพียง 50-60% เท่านั้นเอง แต่ที่เขามีฐานะและประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ก็เพราะผลกำไรจากการทายถูก สูงกว่าผลขาดทุนจากการทายผิด และเกิดจากการซื้อต่ำ-ขายสูง  สำหรับผมจะขอทายในฐานะนักสถิติและนักเทคโนโลยีคนหนึ่งจากความมีประสิทธิภาพของเทคโนโลยี Blockchain และการที่ไม่มีตัวกลางในการกำหนดมูลค่าของบิทคอยน์ทำให้ขึ้นกับ Demand-Supply ที่แท้จริง เมื่อเทียบกับเงินสกุลปกติที่ไม่ใช่ดิจิตอล น่าจะทำให้ได้รับความนิยมมากขึ้น ขนาดตอนนี้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม บิทคอยน์ยังถือเป็น “สกุลเงินที่มีมูลค่าแข็งที่สุดในโลก” หากเริ่มไปสู่ตลาดแมสเมื่อใด มูลค่าจะสูงขึ้นเท่าใดไม่มีใครคาดเดาได้ ซึ่งล่าสุดได้พัฒนาไปถึงการมีฟิวเจอร์เทรดบนบิทคอยน์โดยสถาบันการเงินในต่างประเทศแล้ว

แต่แน่นอนว่า ตามวัฏจักรของการลงทุนในทุกสินทรัพย์ จะเกิดภาวะฟองสบู่-ฟองสบู่แตก-และเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และวัฏจักรแบบนี้เกิดขึ้นได้มากกว่า 1 รอบ ดังนั้นการมีวินัยในการลงทุน ควบคู่กับการศึกษาหาความรู้ให้รู้ลึกและรู้จริง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นักลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม สามารถทำกำไรได้ไม่มากก็น้อยเสมอ

เนื่องจากบิทคอยน์กลายเป็นวาระระดับโลกไปแล้ว นโยบายของแต่ละประเทศในตอนนี้จึงมีทั้งประเทศที่ออกนโยบายทั้งในเชิงให้การยอมรับ ทั้งไม่ยอมรับ และมีทั้งประเทศที่สงวนท่าทีอยู่ ซึ่งผมมองว่าแม้เกิดกรณีที่มีประเทศที่ไม่ให้การยอมรับมากกว่าให้การยอมรับ กลับจะส่งผลทำให้กลุ่มประเทศที่ให้การยอมรับและสนับสนุนระบบสกุลเงินดิจิตอลอย่างเปิดเผยจะมีเงินตราและเงินลงทุนไหลเวียนเข้าในประเทศนั้นอย่างมหาศาล เพราะการลงทุนในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องจำกัดการลงทุนเพียงแต่ในประเทศที่ตนเองอยู่ โดยสามารถลงทุนกันข้ามโลกได้ไม่ยากแล้ว หากท่านผู้อ่านมีความคิดเห็นด้วยหรือเห็นต่างเกี่ยวกับเรื่องบิทคอยน์อย่างไร เขียนมาคุยกันทาง Facebook Message ที่ “facebook.com/drthuntee” นะครับ