ขายของออนไลน์ จะตายในปี2018?

ขายของออนไลน์ จะตายในปี2018?

เร็วๆ นี้เจอคนแชร์บทความน่าสนใจมาให้อ่าน บทความจั่วหัวได้รุนแรงมาก ประมาณว่า ธุรกิจขายของออนไลน์บน “เฟซบุ๊ค”จะตายหมดในปี 2018

เล่นเอาพ่อค้า แม่ขาย ที่ขายของบนเฟซบุ๊คสะดุ้งกันไป 3 ตลบ

เจ้าของบทความนี้ อธิบายถึงมูลเหตุที่มาของปรากฏการณ์นี้ว่า มาจากการที่เฟซบุ๊คพยายามลด Reach คอนเทนท์ ของบรรดาแบรนด์และเจ้าของธุรกิจลงอย่างต่อเนื่อง

มิหนำซ้ำ “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” มีการทดสอบ Feature ใหม่บนเฟซบุ๊ค ที่เรียกว่า “Explore Feed” ที่เจ้าของบทความเข้าใจไปว่า เจ้า “Explore Feed” คือ การทดสอบแยกโพสต์ทั้งหมดของ“แฟนเพจ”ต่างๆ ออกจากโพสต์ปกติของเพื่อน ซึ่งแฟนเพจ ที่อยากจะโผล่ขึ้นบน Feed ปกติ จะต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับพี่มาร์กเท่านั้น!

ผมอ่านแล้วถึงกับเอามือทาบอก อุทาน “อุต่ะ” แบบเบาๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าพี่มาร์ก แกจะทำแบบนี้จริงๆ เพราะถ้าทำแบบนี้ เท่ากับพี่มาร์กแกหักหลังลูกค้าแบบไม่น่าให้อภัย อย่าลืมนะครับ ที่ผ่านมาเฟซบุ๊ค มีโฆษณาที่ชื่อว่า Like Ads อยู่ ซึ่งมีคนซื้อโฆษณาอันนี้ไป ไม่ใช่น้อย เท่ากับเงินที่ซื้อ Like Ads ไป มีค่าเท่ากับศูนย์ทันที เพราะจากนี้ไปจะไม่มีคนเห็นบทความใน Feed ปกติอีกแล้ว ต้องซื้อโฆษณา Boost Post เพิ่มอย่างเดียว

งานนี้ “โซวบักท้ง”เลยต้องลองพยายามนั่งเช็คหาข้อมูลดู แล้วก็เป็นไปดังคาดครับ พี่มาร์กไม่ได้หาญกล้าขนาดนั้น! แต่เป็นความเข้าใจผิดของเจ้าของบทความ

จริงๆฟีเจอร์ “Explore Feed” คือ ฟีเจอร์ที่จะช่วยให้ผู้ใช้เฟซบุ๊ค ได้ค้นพบคอนเทนท์ใหม่ๆ ที่ตัวเองไม่ได้กด Follow หรือ กด Like ต่างหากครับ

โดยคอนเทนท์ ที่จะปรากฏใน “Explore Feed” ทางเฟซบุ๊ค จะใช้ระบบ Big Data ค้นหาบทความที่เหมาะสม ตามความสนใจของแต่ละคน มาแสดงแบบอัตโนมัติ อาจกล่าวได้ว่า “Explore Feed” ของแต่ละคน จะแสดงไม่เหมือนกันครับ

งานนี้ Explore Feed น่าจะออกมาช่วยแบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจมากกว่า ถ้าเราสามารถทำคอนเทนท์ได้ดีมีประโยชน์ มีคนสนใจมาก ก็น่าจะมีโอกาสทำให้คอนเทนท์ไปโผล่ใน Explore Feed ซึ่งเป็นอีกทางหนึ่ง ทำให้มีผู้กด Follow เพจเรามากขึ้น

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องเฟซบุ๊ค มีการปรับลด Reach ลงเรื่อยๆ เป็นเรื่องจริงครับ เหตุผลอันหนึ่งก็มาจากการที่คอนเทนท์บนเฟซบุ๊คมีมากมายมหาศาล

ดูง่ายๆ เฟซบุ๊คส่วนตัวของผม ผมมีเพื่อนประมาณ 4,000 คน และ กด Like เพจต่างๆ ร่วม 1,000 เพจ ถ้าจะให้คอนเทนท์ของเพื่อนผมทุกคนและเพจทุกเพจที่ผมกด Like ขึ้นมาโชว์บน Feed ทั้งหมด คงจะเป็นไปไม่ได้ งานนี้เฟซบุ๊ค จึงจำเป็นจะต้องมี Algorithm ในการคัดเลือกคอนเทนท์ มาแสดงบน Feed อย่างเหมาะสม

งานนี้จึงกลายเป็นการแข่งขันการทำคอนเทนท์กันอย่างเลือดเดือด เพราะบรรดาเจ้าของแบรนด์ เจ้าของธุรกิจ ไม่ได้ทำคอนเทนท์แข่งกันเองเท่านั้น แต่ทำคอนเทนท์แข่งกับคนธรรมดา แข่งกับเพื่อน แข่งกับญาติโกโหติกา แข่งกับเน็ตไอดอล ฯลฯ

คำถามคือ คนขายของออนไลน์ จะต้องปรับตัวอย่างไร ในยุค Overload of Content

อันนี้ ก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของแต่ละคนครับ บางคนขายสินค้าทั่วไป ที่หาซื้อที่ไหนก็ได้ ก็อาจจะใช้กลยุทธ์สินค้าราคาถูก “ถูกกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว” ถ้าเลือกมาทางนี้ เราก็ต้องพยายามบริหารให้ต้นทุนสินค้าของตนต่ำที่สุด การลงโฆษณา อาจจะกลายเป็นสิ่งสิ้นเปลือง เอางบโฆษณามาเป็นส่วนลดสินค้าให้ลูกค้า แล้วเน้นให้ลูกค้าบอกต่อกันเอง อาจจะเป็นทางที่ดีกว่า  แต่ถูกในที่นี้คือต้องถูกจริงๆ นะครับ ถ้าถูกไม่จริง ก็มีสิทธิ์เจ๊งเองง่ายๆ

แต่ถ้าเราเป็นผู้ผลิตสินค้าเอง สินค้าไม่เหมือนใคร ไม่มีใครซ้ำเลย เราอาจจะต้องคิดเรื่องการลงโฆษณาอยู่เหมือนกัน เพราะสินค้าที่ไม่เหมือนใคร โดยส่วนใหญ่ ก็มักจะตามมาด้วย สินค้าที่ไม่มีคนรู้จัก ถ้าไม่รู้จักสร้างแบรนด์ ลงโฆษณาบ้าง เห็นทีจะเหนื่อยแน่

ให้ย้ำกับตัวเองอยู่เสมอ การทำ Digital Marketing ไม่ได้มีแต่การทำคอนเทนท์หรือแค่ซื้อโฆษณาเท่านั้น ยังมีกลยุทธ์อื่นๆ ที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย กลยุทธ์ราคา สินค้า ช่องทางจัดจำหน่าย

เราไม่ควรจะยึดช่องทางการขายเพียงแค่เฟซบุ๊คช่องทางเดียวเท่านั้น จัดไปหลายๆ ช่องทางเลยครับ ถ้ามีทุนและเวลาเพียงพอ เช่น Instagram , Line , Website ของเราเอง , Lazada, Shopee ฯลฯ

กล่าวโดยสรุป การขายของออนไลน์ ยังไม่ตายในปี 2018 แน่ๆครับ

อีคอมเมิร์ซประเทศไทย เพิ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีโอกาสที่จะเติบโตกว่านี้เป็น 10 เท่า  แต่ที่จะตายคือ “ผู้ประกอบการที่ไม่ยอมปรับตัว” ครับ  ในสภาพตลาดที่เปิดอย่างอิสระ ไม่ว่าใคร ก็สามารถเริ่มต้นขายของออนไลน์ในต้นทุนที่ต่ำมากๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน 

แล้วคุณ พร้อมที่จะปรับตัว เพื่อที่จะยืนในสมรภูมิเลือดเดือดนี้แล้วหรือยัง!