อนาคตยูโรและยุโรป (7)

อนาคตยูโรและยุโรป (7)

โลกรู้จักและชื่นชมสินค้าที่มีแบรนด์ Made in Italy มาเป็นเวลายาวนานหลายสิบปี ถ้าหากอิตาลีเผชิญปัญหา Production Model ที่เริ่มใช้การไม่ได้

ทำให้ส่วนแบ่งสินค้าของอิตาลีในตลาดโลกลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างชะงักงันในสิบกว่าปีที่ผ่านมา เราอาจจะถามต่อไปว่าสินค้าที่ Made In Italy วันนี้อยู่ในสภาพเช่นไร

เรานึกถึงสินค้าอะไรบ้างเวลาเราพูดถึงแบรนด์ Made In Italy 

แน่นอนว่าต้องไม่หนีไปจากเสื้อผ้า เครื่องหนัง เช่น กระเป๋าถือ รองเท้าหนัง รองเท้ากีฬา รองเท้าบูทที่ใช้เล่นสกี เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้ หรือเซรามิกส์ไทล์ บางคนอาจจะนึกถึงอัญมณีเครื่องประดับหรือจิวเวลรี่ เครื่องครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้า (แปลกไหม ผมเองใช้ตู้เย็นและเครื่องกรองน้ำของอิตาลีมานานกว่า 30 ปีแล้ว)

บางคนอาจจะไม่รู้ว่าเมื่อก่อนนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะตู้เย็นของอิตาลีนั้น ครองตลาดใหญ่มากในยุโรป และเคยครองตลาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐ และญี่ปุ่น มีอะไรอีก เราคงจะไม่พูดถึงรถยนต์ไม่ได้ โดยเฉพาะรถเฟียตที่คนไทยรู้จักดี และรถสปอร์ต เช่น เฟอร์รารี ลัมโบกินี และ อัลฟา โรมิโอ ซึ่งรัฐบาลอิตาลีให้การส่งเสริมช่วยเหลือเพื่อพัฒนาอิตาลีใต้ที่เมืองเนเปิล

อิตาลียังมีชื่อเสียงในการผลิตและส่งออกสินค้าประเภทวิศวกรรมขนาดเบา รวมทั้งเครื่องจักรประเภทต่างๆ

จุดเด่นที่ดึงดูดคนที่ซื้อสินค้าแบรนด์อิตาลีแม้รู้ว่าราคาแพง นอกเหนือจากความรู้สึกที่ทำให้ตัวเองดูดีแล้ว น่าจะอยู่ที่การออกแบบหรือดีไซน์ที่มีความสวยงาม มีสไตล์ วัสดุที่ใช้ และเทคโนโลยีในการผลิต ทั้งที่เป็นเครื่องจักรและการผลิตด้วยมือ

ความเด่นของสินค้าทั้งหลายที่ทำให้อิตาลีดังไปทั่วโลกนั้น ในกรณีของสินค้าประเภทดั้งเดิม ใช้แรงงานเข้มข้น แน่นอนว่ามันมาจากความคิดสร้างสรรค์ และการมีนวัตกรรม เกิดจากความสามารถของผู้ประกอบการขนาดเล็กและกลาง ที่ทำธุรกิจแบบครอบครัว สะสมประสบการณ์และฝีมือมายาวนาน มีสถานประกอบการกระจุกตัวส่วนใหญ่ที่เรียกว่า Industrial Districts ตั้งอยู่ในบริเวณแถบเหนือ ตะวันออกและกลาง โดยเฉพาะภูมิภาค Veneto, Marche, Emilia-Romagna , และ Friuli-Venezia Giulia 

เราอาจจะไม่รู้ว่าร้อยละ 80 ของเซรามิกส์ไทล์ของอิตาลี ซึ่งผลิตโดยหลายร้อยผู้ประกอบการ ตั้งอยู่ในเมือง Sassuolo ใน Emilia-Romagna เมืองซึ่งความเจริญเติบโตเริ่มขึ้นที่นี่ในทศวรรษ 50 และขณะนี้ส่งออกประมาณ 3 ใน 4 ของการผลิตไปทั่วโลก หรืออุปกรณ์กีฬาที่กระจุกตัวอยู่ในเมือง Montebelluna ใน Veneto เมืองนี้ผลิตรองเท้าสำหรับปั่นจักรยาน มีสัดส่วนถึงประมาณร้อยละ 60 ของตลาดโลก มีอุตสาหกรรมที่ผลิตรองเท้าบูทสำหรับเล่นสกี มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และเริ่มขยายตัวอย่างมากในทศวรรษ 1960 การผลิตรองเท้าบูทสำหรับเล่นสกีและรองเท้าบูทสำหรับเล่นฟุตบอลของเมืองนี้มีสัดส่วนถึงร้อยละ 65 และ 80 ของทั้งโลกตามลำดับ

Industrial Districts ของอิตาลีเคยได้รับการชื่นชมไปทั่วโลก เมื่อประเทศต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลาง โดยออกแบบการร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิตระดับเล็กและระดับกลางในเรื่องข้อมูลข่าวสาร และการแบ่งงานและความเชี่ยวชาญในการทำการผลิต และสร้าง Clusters อุตสาหกรรม ความสำเร็จของ Industrial Districts ทำให้มีนักวิชาการ นักธุรกิจและข้าราชการจากทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เคยไปศึกษาและดูงานที่อิตาลีมากในช่วงทศวรรษ 80 จุดแข็งของ Industrial Districts ในขณะนั้น คือการบริหารรูปแบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่น ขณะเดียวกันก็ยังมุ่งเน้นความเชี่ยวชาญ ไม่เน้นการผลิตที่มีขนาดใหญ่ แต่ประหยัดทั้งแรงงานและทุน หรือที่เรียกว่า Lean Production รูปแบบการผลิตดังกล่าวนี้จึงเหมาะกับปัญหาที่โลกของทุนนิยมประสบอยู่ คือกำลังการผลิตเหลือล้นเกิน หลังจากการช็อคใหญ่ของราคาน้ำมันและเศรษฐกิจถดถอย และการสิ้นสุดลงของระบบการผลิตสินค้าเพื่อมวลชนที่มีขนาดหรือสเกลใหญ่

ความสำเร็จของ Industrial Districts ของอิตาลีเกิดจากวิวัฒนาการความร่วมมือและความสามารถของเอกชน มากกว่าจะเกิดจากความช่วยเหลือของภาครัฐ ซึ่งก็มีบทบาทมาก แต่จะไปอยู่ที่อุตสาหกรรมหนัก หรืออุตสาหกรรมที่รัฐคิดว่าเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์เสียมากกว่า

ถ้าสินค้าของอิตาลีมีคุณภาพ และเคยครองตลาดในสัดส่วนที่สูงตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงทศวรรษ 80 ทำไมสินค้าที่เคยโด่งดังของอิตาลีถึงประสบปัญหาในการรักษาส่วนแบ่งในตลาดโลกในระยะยาว ตั้งแต่ทศวรรษ 90 เป็นต้นมา ถ้ารายได้และประชากรโลกก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง การจะเข้าใจปัญหาที่อิตาลีเผชิญ คือการไม่ปรับตัว Production Model รวมทั้งสาเหตุหรือที่มาของปัญหานั้น เราต้องเข้าใจถึงลักษณะโครงสร้างและขีดความสามารถทางเทคโนโลยีของอิตาลีที่ทำให้อิตาลีประสบความสำเร็จ แต่โครงสร้างดังกล่าวเริ่มจะเป็นอุปสรรคเพราะโลกมันเปลี่ยนไป

ความเก่งของอิตาลีด้านเทคโนโลยี หรือความสามารถในการผลิตที่ผ่านมาในอดีตนั้นสามารถมองได้สองลักษณะ ลักษณะแรก เช่นสินค้าประเภทรถยนต์ซึ่งอิตาลีก็เคยเด่น โดยเฉพาะด้านการออกแบบ สินค้าประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มประเภทของการเทคโนโลยีระดับขั้นกลางหรือ Intermediate Technology 

สินค้าประเภทอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านซึ่งอิตาลีเคยเป็นผู้นำตลาดก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง สินค้าประเภทวิศวกรรมเบาหรือเครื่องจักร ก็จัดอยู่ในประเภทเทคโนโลยีขั้นกลาง หรืออุตสาหกรรมหนัก ที่รัฐต้องส่งเสริมให้มีในช่วงแรกๆ 

ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ปิโตรเคมี พลังงาน ลักษณะที่สอง สินค้า Made in Italy ที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ส่วนมากเป็นสินค้าที่อิตาลีเก่งในความสามารถด้านการออกแบบ ใช้แรงงานสูง มีความสร้างสรรค์และมีนวัตกรรม แต่เป็นนวัตกรรมที่ไม่ต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และระดับแรงงานที่ต้องมีพื้นความรู้ที่เป็นทางการ มีทักษะสูง เพราะฉะนั้นแรงงานส่วนใหญ่ของอิตาลีใน Industrial Districts เป็นแรงงานที่ระดับการศึกษาไม่ต้องสูง 

โดยสรุปแล้ว อิตาลีเด่นด้านการออกแบบ เด่นทางด้านอุตสาหกรรมวิศวกรรม เด่นในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง ทั้งหมดนี้หมายความว่า อุตสาหกรรมของอิตาลีมีความเข้มข้นทาง R&D ค่อนข้างต่ำเพราะไม่จำเป็น เห็นได้ชัดว่าการใช้จ่ายใน R&D ของอิตาลีมีเพียงแค่ 1% เศษๆของ GDP ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มประเทศยูโรเป็นเท่าตัว และไม่สมกับขนาดเศรษฐกิจของประเทศ

อุตสาหกรรมของอิตาลีที่เคยเด่นนั้น การที่มันไม่ต้องการพื้นความรู้ที่เป็นทางการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ไม่ว่าจะมองจากมุมของทุนมนุษย์ นวัตกรรมหรือเทคโนโลยี หรือไม่ต้องการ R&D สูงมากซึ่งมักทำกันเป็นเรื่องเป็นราวจริงจังในบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศเช่น สหรัฐฯ เยอรมัน ญี่ปุ่น มันหมายความว่า สิ่งที่อิตาลีเคยทำสำเร็จและทำได้ดีนั้น ประเทศเกิดใหม่ทั้งหลายเช่นจีน บราซิล เม็กซิโกเป็นต้น ก็เริ่มทำได้และเข้ามาเป็นคู่แข่ง

ถ้าอิตาลีไม่ปรับตัวในระยะยาว  ประเทศก็จะเผชิญภาวะถดถอยแบบถาวรอย่างแน่นอน