ฮ่องกง แดนสวรรค์ของฟินเทค สาย Wealth Management

ฮ่องกง แดนสวรรค์ของฟินเทค สาย Wealth Management

ตลาดหุ้นฮ่องกงจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในเอเชียรองจากญี่ปุ่นและจีนแต่ในแง่ความคึกคักในการเทรดน่าจะเป็นอันดับหนึ่ง

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้เดินทางมายังเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเพื่อศึกษาตลาดหุ้นและโอกาสในการขยายธุรกิจมายังดินแดนแห่งนี้เมื่อได้เข้ามาสัมผัสบอกได้เลยว่าฮ่องกงเป็นสวรรค์ของคนเทรดหุ้นชัดๆ

ตัวเลขที่น่าสนใจคือฮ่องกงมีบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์อยู่ถึง609แห่ง!! ฟังไม่ผิดหรอกครับมีเยอะขนาดนั้นจริงๆ ที่เห็นเยอะๆ นี่ส่วนใหญ่เป็นโบรกฯ ห้องแถวที่เน้นให้บริการออนไลน์เป็นหลักตัวเลขนี้ถือว่าลดลงจากจุดสูงสุดในยุค1980 ที่เคยมีถึง 900 แห่งแม้จะมีโบรกเกอร์หลักอยู่ประมาณ 100 แห่งที่ครองมาร์เกตแชร์ 95% ของวอลลุ่มเทรดแต่เมื่อเทียบกับไทยที่มีโบรกเกอร์ 38 แห่งก็ถือว่าเยอะอยู่ดี(เมืองไทยมีแค่นี้ยังแข่งกันเลือดสาดอยู่เลย)

แม้ตลาดหุ้นฮ่องกงจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในเอเชียรองจากญี่ปุ่นและจีนแต่ในแง่ความคึกคักในการเทรดน่าจะเป็นอันดับหนึ่งเพราะพฤติกรรมคนเล่นหุ้นที่นั่นไม่ต่างอะไรกับคนไทย(จะว่าไปต้องบอกว่าคนไทยเหมือนคนฮ่องกงมากกว่า)คือค่อนข้าง “ใจถึง” และเน้นเก็งกำไรเป็นหลักเหมือนกับการพนัน(Gamble)ที่น่าสนใจคือนิยมเทรดพวกอนุพันธ์(Derivative)มากกว่าหุ้นโดยเฉพาะForex

คนท้องถิ่นเล่าให้ผมฟังว่าคนฮ่องกงเกินกว่า 80% มีความรู้เรื่องตลาดหุ้น(ประชากรฮ่องประมาณ 7 ล้านคนไม่นับรวมชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงาน) เรียกได้ว่าตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงคนแก่ต่างเทรดหุ้นเป็นเรื่องปกติ

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกว่าสำหรับฟินเทคสาย Wealth Management ควรจะมองไปถึงการขยายตลาดมายังเกาะฮ่องกงแห่งนี้เพราะด้วยคาแรกเตอร์ของคนฮ่องกงที่มีความเข้าใจในการลงทุนและรักการเทรดหุ้นจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับฟินเทคอย่างแน่นอน และที่สำคัญมีโอกาสที่จะได้ขยายตลาดไปยังประเทศจีนอีกด้วย(วันหลังจะเล่าถึงภาพรวมตลาดหุ้นจีนที่คึกคักสุดๆอีกที)

นอกจากนี้ ฮ่องกงยังให้การสนับสนุนผู้ประกอบการฟินเทคแบบสุดตัวและชัดเจนจาการที่ผมได้ไปเยี่ยมหน่วยงานสนับสนุนการลงทุนฮ่องกงหรือ InvestHK เอกสารส่วนใหญ่ที่วางไว้ให้หยิบล้วนแล้วแต่มีแต่เรื่องของฟินเทคสำหรับผู้ที่สนใจลองติดต่อหาเจ้าหน้าที่ที่ประจำการอยู่ในประเทศไทยได้(เป็นคนไทยแถมมีความรู้เรื่องฟินเทคดีมาก) และยังมีเรื่องของทุนสนับสนุนทั้งภาครัฐและเอกชนมากมาย

จากการที่ผมได้เข้าไปสัมผัสถึงกฎเกณฑ์ต่างๆของทางฮ่องกงโดยเฉพาะในเรื่องของธุรกิจการเงินสามารถสรุปสั้นๆ ได้ว่า ฮ่องกง“เปิดกว้าง”ในการเข้ามาทำธุรกิจเช่นเรื่องของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาถือหุ้นหรือค่าใช้จ่ายในการเปิดบริษัท ถ้าเป็นเมืองไทยการจะเปิดบริษัทหลักทรัพย์สักแห่งต้องจ่ายขั้นต่ำก็ 120 ล้านบาท เฉพาะค่าใบอนุญาตและทุนจดทะเบียนขั้นต่ำแต่ฮ่องกงคุณสามารถเปิดโบรกฯได้ในราคาเพียง 8 ล้านเหรียญฮ่องกงหรือ 40 ล้านบาท(ส่วนมากเป็นทุนจดทะเบียนขั้นต่ำค่าใบอนุญาตไม่มีมีเพียงแค่ค่าขอเอกสารหลักหมื่นเหรียญฮ่องกงเท่านั้น)

แต่เปิดกว้างแล้วจะต้องถูก “ตรวจสอบ” เยอะนะครับเพราะหลังๆ ฮ่องกงถูกใช้เป็นที่ฟอกเงินของชาวจีนเยอะแม้แต่ฟินเทคก็ต้องถูกเหมารวมให้อยู่ภายใต้กำกับอย่าง SFC (Stock and Futures Commision) เพราะเขาค่อนข้างจะใส่ใจกับการปกป้องนักลงทุนพอสมควรแต่การจำกัดให้อยู่ใต้การกำกับอีกด้านหนึ่งเขาก็สนับสนุนฟินเทคไม่น้อยยังไงโอกาสต่อไปผมจะมาเล่าถึงบรรยากาศของตลาดฟินเทคฮ่องกงให้อ่านกันอีกที