สแกนโอกาสลงทุน 'ครึ่งปีหลัง'

สแกนโอกาสลงทุน 'ครึ่งปีหลัง'

สแกนโอกาสลงทุน 'ครึ่งปีหลัง'

ครึ่งปีแรกกำลังจะผ่านพ้นไปพร้อมกับคำถามที่ว่า ครึ่งหลังมีปัจจัยใดที่นักลงทุนยังต้องติดตามหรือมีสินทรัพย์ใดในภูมิภาคใดที่จะสร้างโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจได้บ้าง

หากมองกันที่เศรษฐกิจโลก ผมยังคงมีมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดี นำโดยสหรัฐอเมริกาซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งยังมีนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งด้านการลดภาษีและการเร่งพัฒนาสาธารณูปโภคเป็นความหวังที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้เติบโตต่อไปได้อีกหากได้เริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยเชื่อว่าหลังจากนี้ Fed น่าจะเริ่มชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยออกไปบ้างหลังจากที่ได้ประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องมานับแต่ปลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันดัชนี S&P 500 ปรับเพิ่มขึ้นจากต้นปีประมาณ 8.91% ขณะที่ P/E อยู่ที่ประมาณ 21.64 เท่า (ที่มา: Bloomberg วันที่ 26 มิ.ย.60) ถึงแม้หุ้นสหรัฐฯ จะยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีกแต่เชื่อว่า ความหวือหวาของโอกาสผลตอบแทนอาจไม่มากนักเมื่อเทียบกับในรอบปีที่ผ่าน และเมื่อประกอบกับราคาที่จัดว่าแพงขึ้นมาแล้ว นักลงทุนอาจต้องอาศัยการติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อเข้าลงทุนในจังหวะที่ตลาดปรับฐาน และต้องอาศัยการเลือกหุ้นรายตัว (Stock Selection) เป็นกลยุทธ์สำคัญในการลงทุน

ด้านยุโรปซึ่งผมมองว่าเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจที่สุดนั้น หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสผ่านพ้นไป ความเสี่ยงด้านการเมืองในยุโรปก็คลี่คลายลงไปมากพอสมควร ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อย่างเยอรมันและฝรั่งเศสยังคงมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสูง ไม่เพียงเท่านั้น เงินยูโรที่อ่อนค่ายังคงเอื้อประโยชน์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรป ทั้งยังได้อานิสงส์จากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงใช้มาตรการ QE ต่อเนื่องโดยคงเม็ดเงินที่จะอัดฉีดเข้าซื้อพันธบัตรและตราสารหนี้ที่ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนเพื่อผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้ขึ้นไปถึงเป้าหมาย 2% สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจ การลงทุนในหุ้นยุโรป ผมมองว่า โอกาสในตลาดหุ้นยุโรปก็ยังมีอยู่มาก โดย บลจ. แอสเซท พลัส คาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดยุโรปปีนี้ที่ 15% ส่วนราคาหุ้นยุโรปก็ยังไม่แพงเกินไปนัก เพราะปัจจุบันคาดการณ์อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (Forward P/E ratio) ของตลาดหุ้นยุโรปอยู่ที่ประมาณ 15 เท่า ทั้งยังมีราคาถูกกว่าหุ้นในตลาดของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลกถึง 9% และถูกกว่าหุ้นสหรัฐฯ ถึง 15%(ที่มา: Bank of America Merrill Lynch : The flow show วันที่ 22 มิ.ย.60) ทีเดียวครับ

ด้านหุ้นเอเชียอื่นๆ ผมยังคงมองว่าหุ้นจีนยังคงน่าสนใจ โดยเฉพาะหลังจากที่เศรษฐกิจจีนผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วและการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนก็ยังคงดำเนินต่อเนื่องมาอย่างจริงจัง อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ หุ้นจีนยังถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งดัชนี MSCI Emerging Market ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับหุ้นจีน ประกอบกับการเปิดเสรีในการลงทุนผ่าน Shanghai-Hong Kong Stock Connect ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนในจีนได้มากขึ้น ขณะเดียวกันตลาดหุ้นอินเดียก็น่าสนใจไม่แพ้กันเนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียยังสามารถเติบโตได้ดีและได้รับอานิสงส์จากความสำเร็จของรัฐบาลในการปฏิรูปเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีและไต้หวัน ยังครองความได้เปรียบจาก Tech Super Cycle ที่จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดในครึ่งปีหลัง

โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นโอกาสในช่วงครึ่งปีหลังสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง แต่ต้องไม่ลืมว่ากลยุทธ์เรื่องการจับจังหวะลงทุนและการพิจารณาเลือกภูมิภาคลงทุนยังเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญนะครับ

สำหรับท่านที่รับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก และเนื่องจากทิศทางดอกเบี้ยในประเทศน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง เช่นกันกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ซึ่งจะยังคงทรงตัวในระดับต่ำต่อไป ดังนั้น ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำอาจเลือกลงทุนกับกองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศระยะสั้นที่ให้โอกาสรับผลตอบแทนน่าสนใจกว่าดอกเบี้ยเงินฝากและมีสภาพคล่องที่เหมาะสม หรือ อาจเลือกกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศระยะสั้น เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่มเติม โดยพิจารณากองทุนที่ปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ด้วย ส่วน ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางและยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องการจับจังหวะลงทุน กองทุนในกลุ่ม Global Multi Asset

ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลกได้ครับ

ผู้ลงทุน “โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน”