Fed กำลังจะขึ้นดอกเบี้ย...ลงทุนที่ไหนดี

Fed กำลังจะขึ้นดอกเบี้ย...ลงทุนที่ไหนดี

Fed กำลังจะขึ้นดอกเบี้ย...ลงทุนที่ไหนดี

ผ่านไป4 เดือนหลังจากที่นาย Donald Trump ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่45 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่20 มกราคม ซึ่งก็มีเรื่องให้ต้องติดตามอยู่ตลอดทั้งเรื่องความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับเกาหลีเหนือทั้งเรื่องการพบกับผู้นำประเทศต่างๆหรือแม้กระทั่งปัญหาของนาย Trumpที่ปั่นป่วนอยู่ขณะนี้ที่มีการออกคำสั่งปลดนายJames Comey ผู้อำนวยการเอฟบีไอทำให้ความคาดหวังที่นักลงทุนต้องการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะเรื่องการปรับลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 35% เหลือ 25% ยังต้องรอต่อไป

แต่ตัวเลขเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐอเมริกาก็ยังขยายตัวได้ดีไม่ว่าจะเป็นการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมโดยISM (ISM Manufacturing PMI) เดือนเมษายนอยู่ที่54.8 จุดซึ่งถ้าเกิน50 จุด บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจขยายตัวรวมถึงตัวเลขยอดค้าปลีกที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหัรฐอเมริกายังขยายตัวต่อเนื่องโดยยอดค้าปลีกเดือนเมษายนขยายตัว+4.5%YoY และตัวเลขการว่างงานที่ต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตซับไพร์มโดยตัวเลขการว่างงานเดือนเมษายนมาอยู่ที่4.4% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงการจ้างงานที่เต็มที่แล้ว

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมานั้นส่งผลให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) พร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก2 ครั้งในปีนี้คือ14-15 มิถุนายนและ19-20 กันยายน โดยจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจากระดับปัจจุบันอยู่ที่0.75 – 1.00% เป็น1.00-1.25% และ1.25 -1.50% ตามลำดับและนักวิเคราะห์ยังคาดอีกว่าจากรายงานการประชุมของFed เมื่อวันที่14 – 15 มีนาคม ที่ผ่านมามีคณะกรรมการนโยบายการเงิน(FOMC) บางคนได้กล่าวถึงการทยอยลดขนาดงบดุลบัญชี(Balance Sheet) ของFed ลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากในปัจจุบันที่4.5 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯดูดซับสภาพคล่องออกจากตลาดหลังจากที่Fed ได้ทำQuantitative Easing (QE) ไปเมื่อเกือบ10 ปีที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา

การลดBalance Sheet ของFed จะทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการของตราสารลดลง โดยคาดการณ์ว่าตั้งแต่ปี2018 – 2020 Fed จะลดขนาดของBalance Sheet ลงเฉลี่ยปีละ3.35 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯและทำให้อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาล10 ปีเพิ่มขึ้น10 – 20 Basis Points หรือเทียบเท่ากับการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย2 ครั้งต่อปีและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้ามาสหรัฐอเมริกาเพิ่มเนื่องจากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาแข็งค่าขึ้น

ผลกระทบจากค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเราแนะนำให้ทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นซึ่งจะได้ประโยชน์จากจุดนี้โดยภาพรวมเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงฟื้นตัวขึ้นจากภาคการผลิตการส่งออกและการลงทุนส่วนการบริโภคภายในประเทศยังคงขยายตัวได้ดีทั้งนี้GDP ไตรมาส1/2017 ที่ผ่านมาขยายตัว+2.2%QoQ ซึ่งนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่อง5 ไตรมาสจากไตรมาสก่อนที่+1.4%QoQ มาจากการขยายตัวของภาคการบริโภครวมถึงจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการส่งออกตามการฟื้นตัวของอุปสงค์โลกเป็นสำคัญ

ทางด้านบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้มีการซื้อหุ้นคืนมาต่อเนื่องโดยในปี2016 ได้ใช้เงินซื้อหุ้นคืนมูลค่ารวมกัน5.7 ล้านล้านเยนที่เป็นจำนวนที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี2006 ส่วนในปีงบประมาณ2017 ก็คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะซื้อหุ้นคืนเพิ่มขึ้นอีก23% เป็น6.5 ล้านล้านเยนและในปีงบประมาณ2018 จะซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก20% เป็น7.8 ล้านล้านเยนนับเป็นผลดีต่อการจ่ายเงินปันผลที่จะเพิ่มมากขึ้นซึ่งจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศอยู่ระดับต่ำ-0.10% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ10 ปีก็มีผลตอบแทนเพียง0.00% ตามที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่นประกาศไว้ที่จะเข้าดูแลเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัว

ฉะนั้นจึงมองว่าช่วงนี้หาจังหวะบางช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐานทยอยเข้าลงทุนหุ้นญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจก็ยังเติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปซึ่งคาดว่าการขึ้นดอกบี้ยของFed จะเป็นตัวกระตุ้นให้ค่าเงินดอล่าร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นก็จะทำให้เงินเยนอ่อนค่าลงเป็นผลดีกับบริษัทจดทะเบียนในประเทศที่ปุ่นที่จะส่งเงินกลับประเทศแล้วทำให้กำไรเพิ่มขึ้นทั้งนี้ การลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นผู้ลงทุนควรศึกษาและลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินเยนที่จะอ่อนค่าครับ