ท่องเที่ยวไทย ปริมาณ หรือ คุณภาพ ?

ท่องเที่ยวไทย ปริมาณ หรือ คุณภาพ ?

อย่างที่ทราบกันว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในไทยเป็นที่น่าอิจฉาของหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมากครับ

เพราะนักท่องเที่ยวมาบ้านเราปีหนึ่งปาเข้าไป 36 ล้านคนต่อปี ซึ่งเท่ากับ 50% ของประชากรไทยแล้ว 

แต่ทั้งนี้เราอาจต้องมาพิจารณากันสักหน่อยแล้วล่ะครับว่า การท่องเที่ยวในบ้านเราควรจะดำเนินไปทิศทางไหนดี เราจะไปแบบเชิงปริมาณ คือ เวลาเอาจำนวนนักท่องเที่ยวไปอวดหรือเราจะไปในเชิงคุณภาพ ที่จำนวนนักท่องเที่ยวน้อย แต่ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงๆ แบบที่ตะวันตกเขาชอบกัน เพราะการที่นักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศหนึ่งคน สิ่งที่เจ้าบ้านต้องเตรียมเพื่อรองรับ คือ ระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา ไฟฟ้า ถนน ระบบขนส่ง แถมยังต้องกำจัดขยะที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามา 

ยกตัวอย่าง ประเทศอังกฤษ ถ้าจะรับนักศึกษาต่างชาติเข้ามาหนึ่งคน สถาบันนั้นจะต้องจ่ายภาษีที่เรียกว่า Carbon Footprint ให้กับเทศบาลเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจะสามารถเรียกเก็บจากนักศึกษาได้ แต่มันก็สูงจนหลายๆ สถาบันนั้นเลือกที่จะไปขยายธุรกิจในประเทศอื่นๆ แทน ซึ่งน่าจะสะดวกกว่า เพราะว่านอกจากค่าภาษีที่ต้องจ่ายให้กับเทศบาลแล้ว ชาวบ้านก็จะตั้งคำถามว่าแล้วพวกเขาจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง นอกจากมีคนต่างชาติเพิ่มขึ้น 1 คนในเมืองของเขา 

ไทยเราก็เช่นเดียวกันครับ เคยตั้งคำถามกันไหมว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะสร้างเงินให้กับใครบ้าง และสร้างปัญหาอะไรไว้ให้เราบ้าง คุ้มหรือไม่กับการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างเอาเป็นเอาตายแบบที่กำลังทำอยู่

คนในแวดวงธุรกิจท่องเที่ยวทราบกันดีว่าคนจีนมีปริมาณมากเสียจนใครๆ ก็อยากดึงให้เข้ามาเที่ยวในประเทศตัวเอง แต่ก็ต้องแลกด้วยสารพัดปัญหา ซึ่งไทยเราก็เป็นเหมือน Dream Destination ของนักท่องเที่ยวจีนเลยล่ะครับ เมื่อปีที่แล้วก็จัดหนักทัวร์ศูนย์เหรียญไป แต่เดี๋ยวนี้คนจีนเริ่มปรับตัวกับราคาทัวร์ใหม่ตามความเป็นจริงได้มากกว่าทัวร์ที่ไปรับมาแบบไม่มีค่ารถ ค่าอาหาร หรือค่าโรงแรมเลย 

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือ เอานักท่องเที่ยวจีนเหล่านี้มาอยู่ในวงจรของตัวเองให้ได้มากที่สุด

ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวจีนที่มากันเป็นกรุ๊ปก็ยังคงมีอยู่ แต่นักท่องเที่ยวแบบอิสระ หรือแบบ Foreign Individual Tourism(FIT) คือ มาท่องเที่ยวเอง จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะแน่นอนว่าเมื่อคนไปกับทัวร์บ่อยๆ สักพักจะเก่งขึ้น แล้วก็จะเริ่มออกมาท่องเที่ยวเอง อย่างที่เชียงใหม่ เราจะเห็นนักท่องเที่ยวแบบ FIT เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีปริมาณไม่มากแต่มีคุณภาพ แค่เราต้องมาปรับวิธีการรองรับเท่านั้นเองว่าอยากรับนักท่องเที่ยวมาพร้อมกันเยอะๆ เป็นคันรถบัส หรือทยอยมาแบบเป็นซีซั่น อย่างโรงแรมที่เชียงใหม่ที่หันมารับนักท่องเที่ยวจีนแบบเช้าออกจากโรงแรม เย็นกลับมานอน พอออกไปก็ปิดไฟ ปิดแอร์ รอต้อนรับอีกทีตอนเย็น ก็จะรับเฉพาะกรุ๊ปคนจีนไปเลย เจ้าของแฮปปี้มากครับแบบนี้ ประหยัดค่าใช้จ่ายดี 

มองการณ์ไกลนะครับ วันหนึ่งเกิดรัฐบาลจีนสั่งห้ามคนจีนมาไทย รับรองเลยว่ามีคนพังเยอะมาก แบบที่เกาหลีเจออยู่ตอนนี้คือ รัฐบาลจีนสั่งห้ามคนไปเกาหลี คำเดียวจบ

พยายามไม่ยึดติดกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนะครับ ทำตลาดเผื่อไว้หลายๆ แบบ ทั้งแบบกรุ๊ป และ FIT มีประเทศโน้นประเทศนี้ผสมกันไป เวลาประเทศไหนมีปัญหาจะได้ไม่ส่งผลกระทบเรามาก ผมเคยทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวรัสเซียอยู่ช่วงหนึ่ง เขาแฮปปี้มาก ทำกำไรให้เป็นกอบเป็นกำ แต่พอวันหนึ่งรัสเซียมีปัญหาค่าเงิน เท่านั้นแหละครับนักท่องเที่ยวรัสเซียหายหมด เขาก็ต้องปิดกิจการทั้งหมดเลย

สรุปเลยละกันนะครับ ถ้าให้เน้นปริมาณแบบเดิมคงจะไม่เวิร์คครับ สู้เน้นค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงๆ ไปเลยดีกว่า แบบประเทศฝรั่งเศส โรงแรมคืนละหมื่น อาหารจานละหลายพันขึ้นไป ไวน์ขวดละหลักพันจนเป็นแสน กระเป๋าหลักแสนไปจนเป็นล้าน ยังมีเสื้อผ้า น้ำหอมหรูหราอีกเต็มไปหมด ทุกวันนี้ไทยเราขายมะม่วง ทุเรียน หมอนยางพารา ยางู และเครื่องประดับอีกนิดหน่อย ซึ่งมันต่างกันเยอะมากจริงๆ ครับ