100 วันในตำแหน่งประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์: ไม่ง่ายอย่างที่คิด

100 วันในตำแหน่งประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์: ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ครบรอบ 100 วันของการบริหารประเทศ ของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ของ สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 29 เม.ย ที่ผ่านมา

 ถึง ณ เวลานี้ประธานาธิบดีทรัมป์คงตระหนักดีกับคำกล่าวที่ว่า “การพูดง่ายกว่าการทำ” เพราะสิ่งที่เขาเคยสัญญาไว้ ในช่วงการรณรงค์หาเสียง หรือวันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนั้นจะสามารถทำได้มากน้อยเพียงใด ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีที่สร้างสีสันทางการเมืองมากที่สุดผู้หนึ่งจึงมีผู้ติดตามผลงานอย่างใกล้ชิด

ภายใต้คำประกาศว่าจะทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง “ Make America Great Again” ที่รณรงค์ให้ชาวอเมริกัน ซื้อสินค้าและจ้างงานชาวอเมริกันก่อน เป็นนโยบายที่ถูกใจประชาชนจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นับตั้งแต่วันเข้าดำรงตำแหน่งเขาได้ลงนามในประกาศ ในฐานะประธานาธิบดีไปแล้วมากกว่า 20 ฉบับ แต่เป็นประกาศที่ไม่ใช่สาระสำคัญที่มีผลกระทบในวงกว้าง จนถึงวันนี้แล้วการดำเนินงานในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการผ่านกฎหมายสำคัญที่ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ก็ไม่สามารถทำได้ แม้ว่าพรรครีพับรีกัลจะมีเสียงข้างมากในทั้งสองสภาก็ตาม ตัวอย่างคือกฎหมายการปฏิรูปสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล ที่ต้องการแก้ไขนโยบายทางด้านสาธารณสุข ของอดีตประธานาธิบดีโอบามา การไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายเป็นสิ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่น ต่อการบริหารงานของประธานาธิบดีลดลงมาด้วยเช่นกัน ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันและประชาคมโลกเริ่มลดความมั่นใจต่อตัวประธานาธิบดีลง

ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจจะประสบความสำเร็จในการลดจำนวนการอพยพของชาวต่างชาติ และผู้ลักลอบเข้าเมืองและลักลอบทำงานที่ผิดกฎหมายโดยการเข้มงวดกวดขัน การออกวีซ่าและการตรวจคนเข้าเมือง แต่ประกาศการห้ามชาวต่างชาติจาก 7 ประเทศเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาเองก็เผชิญการต่อต้านอย่างกว้างขวางที่งจากภายในประเทศและต่างประเทศ

คำประกาศที่จะสร้างกำแพงทางภาคใต้ในการกั้นพรมแดน ระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศเม็กซิโกเอง ในการจำกัดการลักลอบเข้าเมืองของชาวเม็กซิโกก็ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ภายหลังที่มีสภาชิกรัฐสภาประกาศที่จะไม่ผ่านงบประมาณในการสร้างกำแพงดังกล่าว และประธานาธิบดีของเม็กซิโกก็ประกาศว่า จะไม่ยอมออกเงินค่าก่อสร้างกำแพงดังกล่าวตามคำเรียกร้องของประธานาธิบดีทรัมป์

ในทางด้านการค้านั้นประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ถอนตัวออกจากเขตความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ของประเทศในแปซิฟิก (TPP : Tram-Pacific Partnership) ซึ่งอดีตประธานาธิบดีโอบามาเป็นตัวตั้ง ตัวตีจัดตั้งขึ้น ที่มีวัตถุประสงค์ต้องการเพิ่มบทบาทของสหรัฐอเมริกาในด้านการค้าของโลกเพิ่มขึ้น แต่เรื่องดังกล่าวเป็นการเริ่มจัดตั้งจึงไม่มีผลกระทบมากนัก นโยบายที่แข็งกร้าวที่เคยประกาศไว้คือการที่จะตอบโต้ทางการค้ากับหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนที่กล่าวหาว่าจีนมีการแทรกแซงทำให้ค่าเงินหยวนมีค่าอ่อนกว่าปกติ และทำให้ส่งสินค้าราคาถูกเข้ามาขายในตลาดสหรัฐอเมริกาและดึงดูดการลงทุนออกไปจากสหรัฐอเมริกา ท่าทีต่อจีนนี้ก็ดูจะอ่อนโอนลงไป

จากผลงานที่ผ่านมาทำให้คะแนนความนิยมต่อตัวประธานาธิบดีลดด้อยลง ดังนั้นทางทีมงานทางด้านเศรษฐกิจจึงได้ออกมาประกาศว่า จะเสนอแผนการปฏิรูปทางด้านภาษีที่จะมีข้อเสนอร่างกฎหมายทางด้านภาษี ที่จะมีการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล ลงอย่างแรง ในการดึงดูดการลงทุนให้กลับคืนมายังสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดีให้เพิ่มขึ้น หรือการปรับลดอัตราภาษีเงินได้สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยในการกระตุ้นกำลังซื้อ และการใช้จ่ายของประชาชน ที่ก็มีสมาชิกรัฐสภาส่วนหนึ่งแสดงถึงความกังวล ถึงผลกระทบของนโยบายปรับลดอัตราภาษีดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อฐานะดุลการคลังที่จะทำให้การขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น

ล่าสุดคืออำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ กำลังถูกท้าทายจากประธานาธิบดี คิม จอง อิล ของประเทศเกาหลีเหนือเรื่องการทดลองขีปนาวุธนิวเคลียร์ ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลีและเอเชียตะวันวันออก จนต้องขอความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน มีการต่อโทรศัพท์สายตรงถึงผู้นำประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแม้กระทั่งประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยก็มีโทรสายตรงในการหาความร่วมมือกัน ในการป้องกันมิให้เกิดการภัยลุกลามบานปลายจนกลายเป็นสงคราม พร้อมทั้งมีการเชื้อเชิญนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยให้ไปเยือนสหรัฐอเมริกา ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่ให้การยอมรับรัฐบาลนี้เพราะเหตุผลที่ว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ออกมาชี้แจงอย่างผู้รู้จริงว่า การเชื้อเชิญนั้นเป็นพิธีทางการทูต ที่จะต้องดูแลเวลาความเหมาะสม และความพร้อมของผู้นำของทั้งสองฝ่าย และเท่าที่ทราบประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้เชิญชวนนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ไปเยือนสหรัฐด้วยเช่นเดียวกัน

สิ่งกล่าวมาข้างต้นสะท้อนชัดเจนว่า การกระทำย่อมยากกว่าการพูด เพราะการพูดนั้นสามารถทำได้โดยการใช้ปาก แต่การจะกระทำให้สำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เพราะจะมีผลกระทบกับผู้เกี่ยวข้องหลายกลุ่ม ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเอง ก็น่าจะเป็นบทเรียนกับการเลือกตั้งในฝรั่งเศส ที่ผลการเลือกตั้งในรอบแรกได้ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 2 คนคือ นายอิมานูเอล มาครอง และนาง เลอ แปง ที่จะมีการเลือกตั้งรอบที่สองในวันที่ 7 พ.ค. นี้ ซึ่งการเลือกตั้งของฝรั่งเศสจะมีผลกระทบต่ออนาคตของสหภาพยุโรปหากนางเลอแปง ได้รับชัยชนะ