ตลาดหุ้นไทย กับ สถานะ Safe Haven (ชั่วคราว)

ตลาดหุ้นไทย กับ สถานะ Safe Haven (ชั่วคราว)

ตลาดหุ้นไทย กับ สถานะ Safe Haven (ชั่วคราว)

นับตั้งแต่ต้นปี ดูเหมือนว่าปัจจัยภายนอกจะมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยมากกว่าปัจจัยภายใน การที่ SET Index ปรับขึ้นน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในปีนี้ ทั้งที่ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยหลายๆ ตัวออกมาดีกว่าคาด และประมาณการเศรษฐกิจไทยก็เริ่มมีการปรับขึ้น จากทั้งของแบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็มีผลบังคับใช้แล้ว โรดแมปการเมืองก็เริ่มชัดเจน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ก็สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ฯลฯ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าการพักฐานของตลาดหุ้นไทย น่าจะเกิดจากการที่เราเป็นตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมากที่สุดในเอเชียในปีที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะสลับไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่นที่ยังขึ้นไม่มาก

ที่น่าสนใจกว่า คือการที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีพฤติกรรมและลักษณะคล้ายกับ Safe Haven หรือตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติมักจะโยกเงินเข้าในช่วง Risk-off หรือช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง อย่างเช่นในครึ่งหลังของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ตลาดเริ่มกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เรื่องการเลือกตั้งในยุโรป ฯลฯ ในช่วงไม่ถึงสองสัปดาห์นั้น มีเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยถึงกว่าสองหมื่นล้านบาท ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทย Outperform อีกหลายๆ ตลาดหุ้น และเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 3%

สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีสถานะคล้ายๆ Safe Haven (ชั่วคราว) น่าจะเป็นเพราะปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรงขึ้นของตลาดหุ้นไทย ยังไม่ได้ถูกสะท้อนในราคาหุ้นเพราะ SET Index ยังปรับขึ้นไม่มาก บวกกับสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ค่าเงินบาทที่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกิดดุลอย่างต่อเนื่อง ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ และต่างชาติยังถือหุ้นไทยน้อยมาก ฯลฯ ทั้งหมดนี้แปลว่าโอกาสที่จะเกิดแรงเทขายหนักๆ ในตลาดหุ้นไทยมีไม่สูง เลยทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็น Safe Haven ไปโดยปริยาย

ซึ่งสถานะ Safe Haven (ชั่วคราว) ที่ว่านี้น่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในระยะนี้ ที่ตลาดการเงินทั่วโลกกำลังเผชิญกับบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนข้างอึมครึม ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ในซีเรีย ในอัฟกานิสถาน และความไม่แน่นอนในการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี Donald Trump ที่เริ่มเผชิญกระแสต่อต้านที่สูงขึ้น รวมทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีในฝรั่งเศสที่ Le Pen ยังคงมาแรง 

ในภาวะ Risk-off เช่นนี้ จึงเป็นช่วงที่เราน่าจะได้เห็นเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีก ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยทำให้ SET Index ปรับขึ้นมากนัก เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ หรือ Geopolitical Tensions ที่สูงขึ้นได้ส่งผลให้ Equity Risk Premium ของตลาดหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้น แต่น่าจะช่วยลดแรงกดดันในตลาดหุ้นไทยได้บ้าง แต่ถ้าสงครามระหว่างสหรัฐฯ และ เกาหลีเหนือเกิดขึ้นจริง ผมคงไม่ต้องอธิบายว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่แน่ๆ ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทย คงตกหนักพอสมควร บทบาท Safe Haven ของไทยคงจบลง และเงินจำนวนมากน่าจะไหลกลับเข้าสู่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ในความคิดเห็นส่วนตัว ผมเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามในคาบสมุทรเกาหลีน่าจะมีต่ำมาก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ จึงไม่น่าจะเกิดขึ้น และถ้าอิงตามสมมติฐานนี้ ตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน เพราะมี Downside Protection จากสถานะ Safe Haven (ชั่วคราว) เมื่อความเสี่ยงด้าน Geopolitics ต่างๆ คลี่คลายลง ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ นักลงทุนทั่วโลกก็จะเริ่มกลับเข้าสู่โหมด Risk-on อีกครั้ง และในรอบนี้ โอกาสที่ SET Index จะกลับมา Outperform เหมือนในปีที่แล้วมีสูง เพราะ Momentum ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจะชัดเจนมากขึ้น 

ในภาวะที่ยังไม่ค่อยชัดเจนเช่นนี้ แน่นอนว่าการลงทุนใน defensive stocks เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งมีกระแสเงินสดที่มั่นคง น่าจะปลอดภัยที่สุด แต่ธุรกิจที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาว คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ธุรกิจการท่องเที่ยว และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

โค้ด: โอกาสที่จะเกิดแรงเทขายหนักในตลาดหุ้นไทยมีไม่สูง ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็น Safe Haven ไปโดยปริยาย