ความมุ่งมั่น

ความมุ่งมั่น

โลกนี้เราคงหนีคำว่าแข่งขันไม่ได้ ! ประเทศไทยเองจะบอกว่าเราไม่สนใจที่จะไปแข่งขันเราจะอยู่แบบนี้ได้หรือไม่

คำตอบก็คือ “ไม่ได้ครับ เพราะโลกวันนี้ดูเหมือนใครทำอะไรจากมุมโลกหนึ่งก็ไปกระทบอีกมุมโลกหนึ่งอยู่ดี เช่น ถ้าเราบอกว่าเราจะไม่สนใจโลกดิจิทัล จะไม่ใช้อีเมลเหมือนคนอื่น ส่งแฟกซ์ก็ได้ เราอยู่ได้ไหมครับถ้าเราไม่มี อีเมล มีแต่แฟกซ์คำตอบคือเราอยู่ไม่ได้เพราะคนอื่นเขาเลิกใช้แฟกซ์ไปหมดแล้ว และเครื่องก็จะไม่มีใครผลิตอีกต่อไป 

เราอยู่แบบเดิมไม่ได้ในโลกยุคปัจจุบันอีกต่อไปครับ เพราะเราเลือกที่จะเปิดประเทศมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เปิดแล้วและไม่เคยปิดอีกเลย หลายๆประเทศพยายามปิดประตูประเทศจากโลก อย่างเมียนมา จีน และญี่ปุ่น สุดท้ายก็ปิดอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเปิดอยู่ดี 

ไม่ว่าจะเปิดเอง หรือจำเป็นต้องเปิดประเทศ

ประเทศไทยวันนี้เราจึงต้องแข่งกับคนทั้งโลก เราจะปิดหูปิดตาต่อไปไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง"คน" ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวออกไปแข่งขันกับเขาได้ครับ ณ วันนี้มาตรฐานคนของเราเป็นอย่างไรถ้านำมาตรฐานจากคนทั้งประเทศเรามาเฉลี่ยต้องบอกเลยว่า คนของเรายังสู้คนอื่นไม่ได้ในหลายๆ อย่าง เนื่องด้วยระบบการศึกษาของเรา โดยเฉพาะในเรื่องของการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดกว้างสู่ประเทศอื่นๆ ยังไม่สามารถทำให้เด็กนำมาใช้ได้จริง จึงเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้เรื่องต่างๆในโลก 

ยิ่งในยุคนี้ตำรา และแหล่งความรู้เป็นอะไรที่เข้าถึง และหาได้ง่ายมากๆแค่ปลายนิ้วสัมผัสข้อมูลก็มาอย่างมากมาย ในยุคปัจจุบันนี้อะไรต่างๆ ก็เป็นภาษาอังกฤษประมาณ70% และที่เหลือเป็นภาษาท้องถิ่น แต่ก่อนคนจีนไม่พูดภาษาอังกฤษแต่พอครูสอนภาษาอังกฤษแบบ แจ๊ค หม่า ผู้ที่สร้างธุรกิจ และเปิดให้คนทั้งโลกได้รู้จัก อาลีบาบา คนจีนก็เลยรู้ว่าถ้าอยากรวยแบบนี้ต้องใช้ภาษาอังกฤษ เพราะถ้าใช้ภาษาจีนก็จะมีคนไม่กี่คนค้าขายด้วยได้ 

นั่นแค่เรื่องภาษาเท่านั้น ผมเองอยากจะบอกว่า ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์เด็กต่างชาติอย่าง เวียดนาม เมียนมา รัสเซีย เกาหลี และจีน แม้กระทั่งชาวคาซัคสถานเองก็ตาม ผมเห็นความเก่งของเด็กชาติเหล่านี้แล้วน่ากลัวแทนเด็กไทยครับ โดยเฉพาะความกระตือรือร้นที่จะหาโอกาสดีๆในชีวิต ขณะที่เด็กๆต่างชาติเขามองโอกาสว่าการที่ได้ทำงานกับบริษัทต่างชาติคือโอกาสที่ได้เรียนรู้มากกว่าที่จะได้ทำงานกับบริษัทท้องถิ่นเขาจึงพยายามผลักดันให้ตัวเองได้งานนี้ให้ได้มากที่สุด ต่างกว่าเด็กไทยมากผมมีเด็กๆฝึกงานจากมหาวิทยาลัยต่างๆในบริษัทและสิ่งหนึ่งที่ผมพยายามมากที่สุดคือให้โอกาสเด็กเหล่านั้นได้เรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรงจากผม ผมให้เข้าห้องประชุมที่ผมประชุมอยู่ด้วยซึ่งเขาจะได้เรียนรู้จากการทำงานของผมได้เห็นว่าผมคิดอย่างไร ทำงานอย่างไร ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะบริษัททั่วไปจะไม่ได้มีโอกาสแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ 

แต่สิ่งที่ผมเห็นเด็กๆเหล่านี้ คือ นั่งก้มกดโทรศัพท์กัน เขาจะทราบไหมว่าโอกาสแบบนี้มีอีกหลายคนที่อยากนั่งในห้องประชุมกับผม เพราะอยากเรียนรู้แม้กระทั่งพนักงานในออฟฟิศผมยังมีไม่ถึง 25% เลยที่เคยนั่งประชุมกับผม 

ผมไม่ได้อีโก้นะครับว่า ผมรู้สึกว่าผมเก่ง แต่ผมตั้งใจอย่างมากที่อยากให้เด็กๆ ได้มีโอกาสแบบนี้แต่พวกเขามีโอกาส แล้วไม่ใช้โอกาสผมเคยเรียกเด็กฝึกงาน 6-7 คน ทำงานกับผมคนเดียวในโปรเจคระดับชาติ โดยผมให้แนวทางไปแล้วให้เด็กๆทำงานมาส่งโดยไม่ให้พี่ๆในออฟฟิศมาช่วยเลยที่สำคัญ คือ ผมเลือกเอางานที่ผมทำกับเด็กๆมาใช้ทั้งหมดตั้งแต่คอนเซ็ป  ธีม โลโก้ และมาสคอต และเชื่อไหมครับว่างานชิ้นนั้นคือ ไทยแลนด์ พาวิลเลียน (Thailand Pavilion) ที่งานอินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซ์โปซิชั่น (International Exposition)ณเมืองยอซู สาธารณรัฐเกาหลี เป็นงานระดับโลกเลย

นั่นคือโอกาสที่ผมชอบเปิดให้กับเด็กๆ

อีกอย่างชีวิตที่ผมชอบทำคือการถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานกับคนรุ่นต่อๆไป ผมเพิ่งเปิดเวิร์คช็อปเรื่องการต่อยอดทางธุรกิจเสร็จไป ทำมาครั้งนี้เป็นคอร์สครั้งที่ 2 ของผม 2 วันเต็ม ไม่ได้ทำด้วยเหตุผลทางธุรกิจเลยแต่ผมทราบว่า Pain point ของคนทำธุรกิจ คือ ทำอย่างไรธุรกิจก็ไม่โตเสียที ที่โตคือต้นทุน ผมทำธุรกิจมาเกือบ 30 ปีแล้วจึงอยากถ่ายทอดประสบการณ์ของผมแก่พวกเขา 

ผมถามว่าทำไมถึงมาร่วมคอร์สนี้กับผมเขาบอกว่าอยากได้ไอเดียดีๆจากผมแค่หนึ่งข้อก็ไปต่อยอดธุรกิจได้แล้วครับ บางคนอยากมาเจอผมตัวเป็นๆเพราะอ่านหนังสือของผม แล้วชอบวิธีคิดเลยอยากมาเรียนรู้เพิ่มเติมให้มากกว่าที่เคยอ่านในหนังสือ ที่สำคัญ 3 คนคือพี่น้องชาวลาวที่บินมาเรียนกับผมคิดดูแล้วกันเสียเงินค่าอบรมแล้วยังต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก 

แต่เด็กฝึกงานของผมได้โอกาสเจอผมทุกวัน ได้ฟังฟรีๆแต่ไม่ไขว่คว้าโอกาสที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุด วันหนึ่งเขาอาจจะเสียใจก็ได้ครับ ผมนึกถึงเด็กๆเหล่านี้เลยครับช่วงเรียนหนังสือตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะหาความรู้ใส่ตัว หาประสบการณ์และเรียนรู้ให้มากที่สุดและชีวิตวัยเรียน คือ ชีวิตที่ง่ายที่สุดแค่เอาเกรด A B C Dหรือ E หรือผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะชีวิตหลังจากนี้เขาจะเจอโลกที่ยากกว่าเยอะเขาจะเจอหน่วยวัดคือเงินเดือน และตำแหน่ง ซึ่งจะสะท้อนไปถึงชีวิตในหลายๆ 

ด้านความมุ่งมั่นหายไปไหนกันหมดครับ