แปลงทรัมป์เป็นโอกาส

แปลงทรัมป์เป็นโอกาส

ช่วงนี้เห็นข่าวประธานาธิบดีสีจิ้นผิงประกาศจะเป็นผู้นำโลกาภิวัฒน์ที่ดาวอส ถัดมาก็เห็น

ข่าวแจ็คหม่าไปพูดที่ดาวอสเช่นกัน แต่นอกจากสองคนนี้แล้ว จริงๆ ยังมีสุนทรพจน์ของนักธุรกิจจีนอีกคนหนึ่งที่น่าจับตามอง แต่คนไทยยังไม่ค่อยพูดถึงกัน นั่นคือ สุนทรพจน์ของติง เสวียตง ผู้บริหารกองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติของจีน ในเวที Asian Financial Forum ที่ฮ่องกงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

กองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติของชาติของจีน (Chinese Investment Corp: CIC) ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.2007 ลอกตามโมเดลกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดย CIC เป็นกองทุนที่รัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ โดยกันเงินส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศอันมหาศาลของจีนออกมาลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ พื้นที่การลงทุนไม่จำกัดเฉพาะในประเทศจีน แต่ขยายตัวไปลงทุนทุกที่ในโลกที่มีศักยภาพที่จะทำกำไร

ปัจจุบัน CIC บริหารสินทรัพย์มูลค่ารวมสูงถึง 813,760 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยมี 25% เป็นสินทรัพย์ที่อยู่ภายนอกประเทศจีน และถือเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

ติง เสวียตง บอกว่า ที่โดนัลด์ ทรัมป์พูดทุกวันว่า อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) นั้น สุดท้ายจะกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของจีนเลยทีเดียว

งงไหมครับ ตอนนี้มีแต่คนเขากังวลว่า ทรัมป์จะพาเอาจีนและเอเชียพังทั้งแถบ เพราะทรัมป์เล่นขู่เช้าขู่เย็นว่าจะจัดการกำราบจีน ดังเช่นที่เขาพูดในช่วงหาเสียงว่าจะประณามที่จีนบิดเบือนค่าเงินหยวน และตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากจีนให้สูงถึง 40% แต่ติง เสวียตงกลับไม่วิตกกังวลลูกบ้าของพี่ทรัมป์ ตรงกันข้ามกลับประกาศก้องว่า กองทุนยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลจีนอย่าง CIC จะเดินหน้าเพิ่มการลงทุนในสหรัฐ

ปัจจุบัน การลงทุนของ CIC ในสหรัฐฯ มีสัดส่วนถึง 40% ของการลงทุนของ CIC ทั้งหมดในต่างประเทศ ติง เสวียตง บอกว่าสัดส่วนนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์

การลงทุนของ CIC ในสหรัฐ ที่ผ่านมาทั้งหมด เป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ซึ่งทำผลตอบแทนได้ต่ำเตี่ยเพลียดินในยุคที่ดอกเบี้ยต่ำเช่นในปัจจุบัน ดังนั้น CIC จึงมีนโยบายชัดเจนว่า ต้องการจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนทางเลือก ซึ่งหมายถึงการลงทุนในกองทุนหุ้นนอกตลาด (Private equity) กองทุน Hedge Fund รวมทั้งลงทุนโดยตรงในภาคอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีชั้นสูงในสหรัฐ

เขาจึงมองแนวคิด America First ของทรัมป์เป็นโอกาส โดยเฉพาะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเป็นมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ของทรัมป์

โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐ ไม่ได้รับการปรับปรุงมานานมากแล้ว ทรัมป์เองชอบพูดว่า สนามบิน สะพาน รถไฟ ถนนในสหรัฐ เหมือนกับของในประเทศโลกที่สาม (เกินจริงตามสไตล์พี่ทรัมป์ แต่ก็สะท้อนความจริงว่ามีโครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐ ที่ต้องปรับปรุงจำนวนมาก) คล้ายๆ กับที่รถไฟไทยแทบจะไม่ได้รับการปรับปรุงมาตั้งแต่สมัย ร.5 ระบบรางของสหรัฐฯ เองก็แทบจะไม่ได้รับการปรับปรุงมา 50-60 ปีแล้ว

มีการประเมินกันว่า สหรัฐ ต้องใช้เม็ดเงินมหาศาลมากกว่า 8 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ นี่แหละครับ “โอกาส” ของจีน!! เพราะรัฐบาลสหรัฐ ไม่มีเงินพอจะลงทุนเยอะขนาดนั้น และเม็ดเงินของภาคเอกชนภายในประเทศก็ไม่มีทางพอ ดังนั้น สหรัฐ ย่อมจะต้องเปิดให้นักลงทุนต่างชาติมาร่วมลงทุน ซึ่ง CIC สายตรงของรัฐบาลจีนก็พร้อมจะลงทุนทันที

แถมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนี่เป็นงานถนัดของจีนด้วย ติง เสวียตง บอกว่าจีนมีประสบการณ์มากมายที่จะก่อสร้างได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ และมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ให้ได้กำไร

แทนที่จีนจะปวดหัวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในแอฟริกาและอาเซียน ซึ่งการเมืองและเศรษฐกิจไม่นิ่ง ก็ผันตัวมาลงทุนในสหรัฐฯ แทน ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงกว่ามาก (อันนี้ผมพูดเอง ไม่ใช่ติง เสวียตง)

มีนักวิเคราะห์จีนฟังติง เสวียตง แล้วสงสัยว่ายุทธศาสตร์เส้นทางสายไหม (The New Silk Road) และหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road) ของจีนที่เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียเข้ากับยุโรป คราวนี้ดูท่าจะกระโดดเชื่อมไปถึงทวีปอเมริกาเหนือ หรือไม่ต่อไปเราอาจได้ยินนโยบายเส้นทางลงทุนสายมะกันมาแทนเส้นทางลงทุนสายไหมก็ได้

นอกจากนั้น ติง เสวียตง ยังบอกว่า นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการสร้างงานในสหรัฐ โดยสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมการผลิต ก็จะเป็น โอกาสทองที่ CIC จะลงทุนและควบรวมกิจการในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและภาคเทคโนโลยีชั้นสูงในสหรัฐฯ และทำกำไรก้อนงาม

ทั้งหมดนี้ ก็ฟังหูไว้หูไปก่อนนะครับ เพราะเส้นทางสายมะกันคงไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น การลงทุนของ CIC ในภาคเศรษฐกิจจริงของสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ภาคอุตสาหกรรม หรือภาคเทคโนโลยีชั้นสูง น่าจะถูกแรงต่อต้านภายในสหรัฐ อยู่พอสมควร รัฐบาลสหรัฐ มักให้คณะกรรมการอนุมัติการลงทุนทำการตรวจสอบการลงทุนจากจีนอย่างรัดกุม โดยเฉพาะการลงทุนของรัฐวิสาหกิจจีน (แล้ว CIC นี่คือสายตรงรัฐบาลจีนตัวจริงเสียงจริงเลย) เพราะสหรัฐ เองก็กังวลเรื่องความมั่นคงของชาติ และกลัวว่าจีนจะกวาดซื้อบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้วขนเทคโนโลยีกลับจีนหมด

ติง เสวียตง เองก็ยอมรับว่า สหรัฐ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ M&A ที่มาจากทุนจีน ซึ่งเขาบอกว่า เข้าใจได้ ขอเพียงอย่ารังแกและจ้องเอาผิดจีนอย่างเดียว ขอให้ปฏิบัติต่อทุนจีนเหมือนทุนของประเทศอื่น และเขาพร้อมที่จะเล่นบทรุกในการประสานและทำความเข้าใจกับผู้ใหญ่ในสหรัฐ ว่าการรับการลงทุนจากจีนจะได้ผล Win-Win ทั้งจีนและสหรัฐ

น่าคิดนะครับว่า เศรษฐกิจของโลกปัจจุบันมันซับซ้อน เห็นหลายคนกังวลว่า สหรัฐ จะเล่นบทโหดกับจีน และเปิดสงครามการค้า แต่จะเป็นไปได้หรือครับ? ถ้าเกิดมีสงครามการค้าจริง ใครจะตายก่อนแน่? ในเมื่อเงินทุนของบริษัทสหรัฐ ยังอยู่ในจีนมหาศาล ลองคิดดูง่ายๆ แอปเปิ้ลจะไม่สามารถผลิตไอโฟนในราคาเดิมได้ (สายการผลิตชิ้นส่วนอยู่ที่จีนหลายอย่าง) แล้วผู้บริโภคสหรัฐ จะรับได้หรือครับ? หรืออย่างโรงงานใหญ่ขอโบอิ้งในสหรัฐ เน้นผลิตของเพื่อส่งจีนโดยเฉพาะ ถ้าเกิดสงครามการค้า ที่ต้องปิดก่อนเพื่อนก็คือโรงงานของโบอิ้งในสหรัฐ ที่จ้างคนสหรัฐ ถึง 150,000 คน ไม่ใช่โรงงานโบอิ้งในจีน

ปริศนาที่นักวิจารณ์การเมืองโลกชอบพูดกันก็คือ สหรัฐ ปล่อยให้จีนมาถึงวันนี้ได้อย่างไร (ในอดีต สหรัฐ โค่นโซเวียตตั้งแต่ยังเป็นหน่ออ่อน ไม่ปล่อยให้ไปไกลกว่านั้น) คำตอบก็คงเป็นอย่างที่ติง เสวียตง พูดในตอนจบของสุนทรพจน์ว่า ไม่ว่าใครจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีนได้ (ผมแปลให้ฟัง: จีนไม่เหมือนโซเวียต เพราะจีนผันตัวจากคอมมิวนิสต์ฮาร์ดคอร์ มาเล่นเกมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศเต็มตัว เงินทุนของพ่อค้าสหรัฐ จึงได้ประโยชน์มหาศาลจากการเปิดประเทศของจีน ขณะที่จีนเองก็สะสมทุนจนยิ่งใหญ่ขึ้นมา)

ทรัมป์เป็นพ่อค้า ครม.ของทรัมป์ก็มีแต่พ่อค้า และตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้งมา ทรัมป์ก็ได้พบและประชุมกับพ่อค้าใหญ่ๆ ไปหลายคนแล้ว เพราะฉะนั้น อย่ากังวลกับลูกบ้าของทรัมป์เลยครับ เพราะสุดท้ายแล้ว โลกในวันนี้หมุนด้วยพ่อค้า หมุนด้วยเม็ดเงิน และถ้าพ่อค้าจีนอย่างแจ็คหม่าหรือติงเสวียตง สามารถพูดภาษาพ่อค้ากับทรัมป์ได้ว่าการลงทุนของพวกเขาจะเป็นประโยชน์กับสหรัฐ และนโยบายสร้างภาพ (เฮ้ย-- สร้างงาน) ของทรัมป์ เมื่อนั้นทรัมป์ก็คงจะกลายเป็น โอกาสของพ่อค้าจีนครับ