เฟดปรับ 'ดอกเบี้ย' น่ากังวลแค่ไหน

เฟดปรับ 'ดอกเบี้ย' น่ากังวลแค่ไหน

นักลงทุนไม่ต้องกลัวมากว่าตลาดหุ้นไทยจะล่มพังทลายเมื่ออัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มขึ้น แน่นอนการปรับพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

นักลงทุนทั่วโลกกำลังเฝ้าติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า 'พรรครีพับริกัน' หรือ 'พรรคเดโมแครต' โดยการโต้วาทีของตัวแทนจากพรรครีพับริกัน โดยนายโดนัล ทรัล ค่อนข้างจะเป็นฝ่ายตามหลังตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ซึ่งส่งนางฮิลลารี คลินตันลงสนาม ภายหลังการโต้เวทีในเรื่องนโยบายการเมือง และเศรษฐกิจ ดูเหมือนการเลือกตั้งคราวนี้ของสหรัฐจะไม่สูสีเท่าไร เพราะโพลส่วนใหญ่ให้นางฮิลลารี นำห่างมากทีเดียวกว่า 10 จุด นั่นหมายถึง ในประวัติศาสตร์สหรัฐ โอกาสของนายโดนัล ทรัลที่จะกลับมาเข้าป้ายโค้งสุดท้าย และ สร้างอภินิหารคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนไหม่น่าจะน้อยมาก

สำหรับผมแล้ว การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐไม่ใช่เรื่องประเด็นหลักต่อการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นเลย เนื่องจาก มวยคู่นี้ห่างชั้นมากเกินไป นายโดนัล ทรัลมีจุดอ่อนมากมายในเชิงนโยบายต่างประเทศ ตลาดแรงงาน รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอน นักลงทุน และ สถาบันการลงทุนต่างๆในสหรัฐเองก็ปราถนาให้พรรคเดโมแครตขึ้นมาดำเนินนโยบายมากกว่า

หากแต่ว่านักลงทุนทั่วโลกเพ่งมองการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ โดยธนาคารกลางสหรัฐกำลังหาโอกาสที่เหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก แม้ว่าคณะกรรมการพิจารณานโยบายการเงิน คือ Federal Open Market Committee (FOMC) ได้มีการเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมานานกว่าที่หลายท่านคิดไว้ ขณะที่ตัวเลขสำคัญที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐเคยให้นักลงทุนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นอัตราว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ ตลาดอสังหาริมทรัพย์เข้าสู่ระดับที่ FOMC สามารถปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นได้แล้วก็ตาม แต่เหตุการณ์ตลาดการเงินผันผวนในยุโรปจากการโหวตออกของคนอังกฤษ และโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบางในจีน ยังคงทำให้ธนาคารกลางสหรัฐจะไม่รีบตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม

นักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ และ ตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศเกร็ง และ เริ่มปรับพอร์ตการลงทุนสำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น นักลงทุนดูระมัดระวังมากขึ้น แต่หากพิจารณาจากกราฟด้านล่างที่แสดง เราพบว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจากอดีตจนถึงปัจจุบันระยะเวลา 14 ปีนั้น ไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนของการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยเลย เพียงแต่สร้างแรงกังวลต่อบรรยากาศการลงทุนในช่วงเวลาหนึ่ง
สังเกตจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐในปี 2004 ซึ่งมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากมาย ซึ่งจริงแล้วดัชนีตลาดหุ้นเอเซียในช่วงเวลานั้นปรับตัวได้ดีจนกระทั่งเกิดจุดเริ่มของเหตุการณ์วิกฤตการเงินในสหรัฐปี 2007 ด้วยซ้ำ หากแต่จำกันได้คือ เวลานั้นประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ และ ภาวะอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าระดับปกติ

ในทางกลับกัน เหตุการณ์วิกฤตการเงินสหรัฐได้ส่งผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศให้หยุดชะงัก ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกช็อค แม้ว่าเฟดจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นไทยก็ลดลงอย่างรวดเร็วเพราะผลกระทบต่อราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์หลายอย่างทำให้กำไรของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทรุดตัวไปด้วย

ดังนั้น หากเห็นภาพเช่นนี้แล้ว นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยก็ไม่ต้องกลัวกันมากนักว่าตลาดหุ้นไทยจะล่มพังทลายเมื่ออัตราดอกเบี้ยสหรัฐเริ่มขึ้น แน่นอนการปรับพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยจะเกิดขึ้นซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นลงได้บ้าง แต่สิ่งสำคัญคือ การมีเสถียรภาพทางการเงิน และเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวได้ในอนาคต ซึ่งแน่นอนกำไรบริษัทจดทะเบียนจะโตได้ และราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นได้ ขอให้นักลงทุนมีการวางแผนเตรียมตัวรับกับสถานะการณ์ที่จะเกิดขึ้น พร้อมรู้ว่าเราควรซื้อหุ้นไหน หรือ กองทุนประเภทใดก็พอ