อิทธิพลจากนอกกระทบหุ้นไทย

อิทธิพลจากนอกกระทบหุ้นไทย

อิทธิพลจากนอกกระทบหุ้นไทย

ในช่วงนี้มีปัจจัยที่ส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ผมให้น้ำหนักปัจจัยต่างประเทศที่ต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ในเรื่องของค่าปรับที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาที่ เรียกจาก Deutsche Bank ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับต้นๆของยุโรปและของประเทศเยอรมัน เพื่อแลกกับการยุติการสอบสวนในคดีที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (Mortgage-backed Securities : MBS) ให้กับนักลงทุนสหรัฐอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งตัวเลขค่าปรับเริ่มจาก 14,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และภายหลังขอเจรจาต่อรอง เหลือเพียง 5,400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งประเด็นของ Deutsche Bank ผมมองว่า จะส่งผลกระทบต่อตลาดในระยะสั้น คล้ายๆกับที่เคยเกิดขึ้นกับ Deutsche Bank เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาที่มีข่าวว่า Deutsche Bank อาจไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ โดยปัญหาเรื่องค่าปรับจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่เชื่อว่าทาง Deutsche Bank น่าจะมีการบริหารจัดการต่อเรื่องดังกล่าว (เช่น อุทธรณ์ต่อศาล หรือ เจรจาไกล่เกลี่ยกับทางการ US) ทั้งนี้ หากเหตุการณ์บานปลายมากขึ้น เชื่อว่าทางการประเทศเยอรมันคงไม่นิ่งนอนใจ ปล่อยให้ Deutsche Bank ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ของเยอรมันล้มละลาย คล้ายกับกรณีของ Lehman ที่จะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนและประชาชนในวงกว้าง อย่างไรก็ดีในช่วงนี้ ประเด็นดังกล่าวจะส่งผลให้ภาวะการลงทุนโดยรวมแกว่งไปตามผลการเจรจา

นอกจากนี้ ประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกยังต้องติดตาม คือ การแสดงสุนทรพจน์จากผู้แทนของ 2 พรรคการเมืองขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ เพื่อชิงตำแหน่างประธานาธิบดี ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน โดยปัจจัยดังกล่าวเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนและเป็นผลต่อบรรยากาศการลงทุนมีความผันผวน โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากหลังจากการแสดงสุนทรพจน์ในครั้งแรก ทั้งสองท่านได้นำเสนอในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องการค้า โดยทั้งคู่ได้คัดค้านการทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) รวมถึงประเด็นการค้ากับจีน แต่สำหรับเศรษฐกิจของประเทศไทยแม้ว่าจะยังไม่ได้อยู่ในสมาชิกข้อตกลงดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ได้

ในแง่ของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น หลังกลุ่มโอเปกสามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องการควบคุมกำลังการผลิตอย่างไม่เป็นทางการ ได้สำเร็จในรอบ 8 ปี สวนทางกับตลาดคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามรายละเอียดอีกครั้งในช่วงปลายเดือน พ.ย. โดยยังคงคาดการณ์กรอบของราคาน้ำมันที่ระดับ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ดี ในช่วงกลางเดือนนี้เป็นต้นไปจะเริ่มมีการประกาศผลประกอบการไตรมาส3/59 ซึ่งผมมองว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเริ่มกลับมามีสีสันมากขึ้น โดยจะเริ่มการประกาศผลจากหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็นกลุ่มแรก โดยผมมองว่า ผลประกอบการมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น เนื่องจากได้ผ่านพ้นช่วงการกันสำรองหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไปแล้ว ประกอบกับในช่วงไตรมาส 4 เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อีกทั้งคาดการณ์ว่าภาครัฐจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อเข้ามาช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ หลังจากที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศเริ่มชะลอตัวลงบ้าง แต่มองว่าเป็นการชะลอตัวลงแบบไม่ได้มีนัย ดังนั้น โดยภาพรวมหากพิจารณาจากปัจจัยภายในประเทศยังไม่มีอะไรที่น่ากังวลต่อภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และหากมองข้ามบรรยากาศการลงทุนจากปัจจัยต่างประเทศโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานการเติบโตของหุ้นไทยในปีหน้า ที่จะมีการเติบโตจากการบริโภค การลงทุนภาครัฐซึ่งจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในปีหน้า ประกอบกับการเลือกตั้งในปีหน้าที่จะเป็นผลดีต่อมุมมองนักลงทุนต่างประเทศขณะที่ Valuation Gap ปัจจุบันของไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านยังอยู่ในระดับสูง เชื่อมั่นว่า หุ้นไทยยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีโดยอัตราการจ่ายเงินปันผลปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.09% ซึ่งสูงกว่าประเทศในกลุ่ม TIP Market (อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) 1.84% และ 1.68% ตามลำดับ ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน หรือปรับตัวย่อต่ำแตะที่ระดับประมาณ 1,400 จุด ยังคงมองเป็นโอกาสทยอยการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะกองทุนที่ได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษี

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน