ตุลาคมหุ้นบวก (สถิติ)

ตุลาคมหุ้นบวก (สถิติ)

ตุลาคมหุ้นบวก (สถิติ)

สวัสดีท่านนักลงทุนครับ กลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อมาคุยกัน เรื่องกลยุทธ์การลงทุนในเดือนตุลาคม ว่าท่านนักลงทุน ต้องเตรียมทำการบ้านอะไรบ้างในเดือนตุลาคมนี้

เรื่องแรกที่ผมอยากชวนดูคือ สถิติหุ้น ขึ้นลงในเดือนตุลาคม จากสถิติการเคลื่อนไหวของหุ้นในเดือนตุลาคม ถ้าดูตั้งแต่สมัยซับไพร์ม หุ้นในเดือนตุลาคมขึ้นมากกว่าลง ถ้าดูย้อนกลับไป 5 ปี โดยในปี 2011 หุ้นขึ้น 6.4% ,ปี 2012 หุ้นนิ่ง 0% ,ปี 2013 หุ้นขึ้น 4.3% ,ปี 2014 หุ้นติดลบ 0.1% และปี 2015 หุ้นขึ้น 3.4% ดังนั้นสรุปจากสถิติบอกว่า เดือนตุลาคมหุ้นขึ้นมากกว่าลง

สิ่งที่ดี น่าจะส่งผลให้หุ้นบวกได้ คือเศรษฐกิจของบ้านเรา ดูแล้วน่าจะดีขึ้น ล่าสุด ADB ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ไทยเป็น 3.2% ในปีนี้ จากเดิม 3% ผลมาจาก การใช้จ่ายภาครัฐ และการบริโภคที่ดีขึ้น

ปัจจัยที่ยังหนุนให้หุ้นขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่อง Fund Flow แม้นักลงทุนต่างประเทศ จะขายสุทธิในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน แต่ก็ยังกลับไปซื้อฟิวเจอร์และพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่า ทำให้เรารู้ว่า ต่างประเทศยังมองหุ้นไทยดีอยู่ อีกทั้งถ้าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น Fund Flow ก็น่าจะกลับมาลงทุนที่ตลาดหุ้นไทยในที่สุด

มาดูกันที่การซื้อขายแยกตามกลุ่มนักลงทุน เดือนกันยายน นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 17,226.88 ล้านบาท สถาบัน ขายสุทธิ 16,180.14 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ ขายสุทธิ 3,270.17 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 2,223.43 ล้านบาท จะเห็นว่าในเดือนกันยายน ยังมี Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย

จากปัจจัยข้างต้น น่าจะทำให้หุ้นขึ้นได้ ในเดือนตุลาคม ดังนั้นนักลงทุนน่าจะหาจังหวะ เข้าสะสม ในช่วงที่หุ้นผันผวน อันเนื่องมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้

ความผันผวน ของตลาดหุ้น ระหว่างการ Debate ของฮิลลารีและทรัมป์ ซึ่งครั้งแรกผ่านไปแล้ว ดูเหมือนว่า ดาวโจนส์จะเชียร์ ฮิลารี่ เนื่องจาก ถ้าเธอได้รับการเลือกตั้ง จะยังคงใช้นโยบายต่างๆเช่นเดิม เหมือนที่โอบามาใช้มา ทำให้ตลาดหุ้นง่ายต่อการคาดการณ์นโยบาย ในทางกลับกัน ถ้าทรัมป์ได้ นโยบายต่างๆ ยากต่อการคาดการณ์ แบบนี้ตลาดหุ้นไม่ชอบ

โดย Presidential Debate ยังเหลืออีก 2 รอบคือ วันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. (ตามเวลาสหรัฐ หรือเช้าวันจันทร์ที่ 10 ต.ค.ตามเวลาไทย )และ วันพุธที่ 19 ต.ค. (ตามเวลาสหรัฐ หรือเช้าวันพฤหัสบดีที่ 20 ต.ค.ตามเวลาไทย) แต่ก่อน ดีเบตรอบประธานาธิบดีครั้งที่ 3 จะมีดีเบตรอบรองประธานาธิบดีก่อนใน วันอังคารที่ 4 ต.ค. (ตามเวลาสหรัฐ หรือเช้าวันพุธที่ 5 ต.ค.ตามเวลาไทย)

ปัจจัยต่อมาที่อาจทำให้หุ้นผันผวนได้ คือปัญหาฝั่งยุโรปกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ Deutsche Bank ถูกปรับ US$1.4 หมื่นล้านเพื่อยอมความในคดีเกี่ยวกับ Mortgage Backed Securities (MBS) โดยความกังวลดังกล่าวนี้ได้ลามไปยังธนาคารอื่นๆในยุโรปอีกด้วย แถมยังมีข่าว Commerz Bank ในเยอรมนีประกาศลดพนักงาน 7,300 ราย และงดจ่ายเงินปันผล เนื่องมาจาก ผลประกอบการที่แย่ลง

นอกจากข่าวธนาคารฝั่งยุโรปแล้ว ธนาคาร Wells Fargo ฝั่งสหรัฐฯ ก็กำลังสร้างความวิตกให้ตลาดทุน เช่นกัน โดยธนาคาร Wells Fargo มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือของธนาคาร เกี่ยวกับเรื่องพนักงานของแบงก์เปิดบัญชีลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตกว่า 2 ล้านบัญชีเพื่อสร้างยอดขาย งานนี้ CEO ของธนาคาร ถูกสภาคองเกรสซักฟอก อย่างหนัก

ปัจจัยต่อมา คือเรื่อง Fed จะขึ้นดอกเบี้ย เริ่มมีเสียงสนับสนุนมากขึ้น ที่ต้องการให้ขึ้นดอกเบี้ย ทั้งนี้ Fed มีการประชุม อีก 2 ครั้ง คือ วันที่ 3 พฤศจิกายน และ 15 ธันวาคม แต่เนื่องจาก วันที่ 8 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ดังนั้น วันที่ 3 พฤศจิกายน น่าจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย โดยตลาดหุ้นให้โอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ในเดือน พฤศจิกายนที่ 17% แต่ให้ความน่าจะเป็นที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ในเดือนธันวาคมที่ 54%

กลยุทธ์การลงทุนเดือนนี้ ซื้อหุ้นเมื่ออ่อนตัว ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ยังคงมองว่า ดัชนี ยังมีเป้าหมายที่ 1,650 จุด แต่อยากให้ซื้อหุ้น ตอนหุ้นปรับตัว โดยในเดือนตุลาคม มีโอกาสที่ดัชนีจะขยับไปชนแรงต้านที่ 1,550 จุดได้ กลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มรับเหมา วัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก และไฟแนนซ์

ด้านเทคนิค ตลาดหุ้น มีแนวรับ อยู่ที่ 1,482 – 1,477 จุด และมีแนวต้านอยู่ที่ 1,495 – 1,498, 1,505 -1,512 จุด พบกันใหม่เดือนหน้าครับ