'ลุงตู่' ต้องพิสูจน์ ความเท่าเทียม

โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว เรียกร้องให้ “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า “คสช.” ยึดมาตรฐานเดียวกับตัวเอง ในกรณีครอบครัว “บิ๊กติ๊ก”พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม มีปัญหาความไม่ชอบมาพากลนั้น มีความหมายอย่างยิ่ง

“ยิ่งลักษณ์” ระบุว่า “ทุกอย่างที่นายกฯ ยืนยันออกมาจากปากท่าน ว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯ ใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉัน เหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรม และปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่าน เพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”

ประเด็น ก็คือ ก่อนหน้านี้ “ยิ่งลักษณ์” และพรรคเพื่อไทย รู้สึกอยู่แล้วว่า รัฐบาล “ลุงตู่” เร่งคดีที่เกี่ยวกับยิ่งลักษณ์ และคนของพรรคเพื่อไทย เกินไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับคดีของฝ่ายอื่น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีอันเนื่องมาจากโครงการรับจำนำข้าว ของ “ยิ่งลักษณ์” ซึ่งถูกกล่าวหาว่า ปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้ง จนก่อให้เกิดความเสียหายหลายแสนล้านบาท ขณะนี้คืบหน้าทั้งทางแพ่งและอาญา อย่างที่รับรู้กัน

แถมมีการใช้อำนาจ “ม.44” ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 เปลี่ยนการบังคับเรียกค่าเสียหาย (ตัวเลขล่าสุด 35,717 ล้านบาท) จากกระทรวงการคลังมาเป็นกองบังคับคดี เพื่อรองรับล่วงหน้า

จนกลายเป็นกระแสเรียกร้องของ “ยิ่งลักษณ์” และพรรคเพื่อไทยให้ทบทวน เพราะเห็นว่า เป็นการชี้นำคดีหรือไม่ อยู่ในเวลานี้

แล้วก็ไม่ต้องสงสัย ว่าทำไม “ยิ่งลักษณ์” และพรรคเพื่อไทย จึงลุกขึ้นมาโหมกระแสในช่วงนี้ ก็เพราะ “ลุงตู่” กำลังตกอยู่ในภาวะเพลี่ยงพล้ำเรื่องน้องชาย ทั้งกรณีฝาย“แม่ผ่องพรรณพัฒนา” ของผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยา “บิ๊กติ๊ก” และกรณี ลูกชาย ได้ประมูลงานก่อสร้างของ “กองทัพภาค 3” ถึง 2 โครงการ จนมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูง แถมมีผู้ร้อง “ป.ป.ช.” ให้ตรวจสอบแล้วด้วย

คำถามก็คือ “ลุงตู่” จะทำให้เกิด “ความเท่าเทียม” อย่างที่ “ยิ่งลักษณ์” เรียกร้อง ได้อย่างไร? โดยที่นอกจาก “ลุงตู่” จะไม่ปกป้องครอบครัวน้องชายแล้ว คนอื่นในรัฐบาล ก็ต้องไม่ปกป้อง และปล่อยกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างโปร่งใสด้วย

ไม่เช่นนั้น ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่า ขบวนยุติธรรมยุค “ลุงตู่” มีมาตรฐานเดียว อย่างที่พูดเสมอว่า ไม่เลือกปฏิบัติ กลั่นแกล้งรังแกใคร!?