ข้อเปรียบเทียบ ให้ 'นักเลือกตั้ง'
แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่ซะแล้ว
กระแส “ลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า “คสช.”รัฐบาล “คสช.”และทหาร
หลัง “ดับซ่า” นักเลือกตั้งมาแล้ว อย่างชนิดพลิกความคาดหมาย ในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
คราวนี้ เป็นผลสำรวจของ“สถาบันพระปกเกล้า” ระหว่าง 25 ก.ค.-3ส.ค.2559
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ความเชื่อมั่นต่อการทำงานของคณะบุคคล/สถาบัน/หน่วยงานต่างๆ พบว่า ทหาร มีคะแนนนิยมถึง 85.8% นายกรัฐมนตรี 84.6% แพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐ 84.7% แพทย์ในโรงพยาบาลของเอกชน 83.7% คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 82.6% และข้าราชการพลเรือน 81.3%
ต่างกับ ความเชื่อมั่นต่อคณะบุคคล/สถาบัน/หน่วยงานต่างๆ ที่ประชาชนค่อนข้างเชื่อมั่นถึงเชื่อมั่นมาก น้อยกว่า 50% พบว่า สภาองค์กรชุมชน 45.4% สถาบันพรรคการเมืองทุกพรรคการเมือง (ไม่เจาะจงพรรคใดพรรคหนึ่ง) 39.7% องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) 37.2% ส่วน พรรคเพื่อไทย 35.5% และ พรรคประชาธิปัตย์ 34.2%
เห็นได้ชัดว่า พรรคการเมืองทุกพรรค พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ล้วนมีคะแนนต่ำกว่า 50% ทั้งสิ้น
ที่น่าวิเคราะห์จากผลสำรวจดังกล่าวก็คือ ความเชื่อมั่นของประชาชนอาจเกิดจาก การทำงานที่เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล นายกฯลุงตู่ และทหาร นั่นเอง แม้ว่าจะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง แต่ก็เห็นในความตั้งใจและความพยายาม
ต่างจากในยุคของนักเลือกตั้ง ที่การดำเนินนโยบายแต่ละอย่าง ล้วนผูกติดกับผลประโยชน์ทางการเมืองที่จะได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคะแนนนิยม ไม่นับผลประโยชน์ตัวเองและพรรคพวก ทำให้ประชาชนเห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ นักการเลือกตั้งยังเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป จนหลายครั้งทำให้เห็นได้ชัดว่า ต่อสู้กันเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน ส่วน “จุดแข็ง” ที่เรียกคะแนนนิยมได้เป็นกอบเป็นกำ ก็เห็นจะเป็น “นโยบายประชานิยม” หรือที่รับรู้กันว่าเอาเงินภาษีประชาชนมาใช้หาเสียง แค่นั้นเอง
นี่คือ ข้อเปรียบเทียบที่นักเลือกตั้งจะต้อง“ทบทวนตัวเอง” โดยเร็ว เพราะไม่เช่นนั้น ไม่เพียงประชาชนจะสิ้นหวังกับนักเลือกตั้งอย่างที่ผ่านมา หากแต่“วังวน”ที่ประชาชนโหยหาทางเลือกใหม่ ที่ไม่ทนอยู่กับนักเลือกตั้งก็จะไม่รู้จักจบสิ้น
หวังว่ากระจกบานงามนี้ จะช่วยปลุกสำนึกนักเลือกตั้ง มากกว่าจะปฏิเสธความหวังดี แล้วก็โทษนั่นโทษนี่เหมือนอย่างเคย