จากเอทีเอ็ม'ออมสิน'ถึงพร้อมเพย์ โจรกรรม vs ความมั่นใจในระบบ

จากเอทีเอ็ม'ออมสิน'ถึงพร้อมเพย์ โจรกรรม vs ความมั่นใจในระบบ

“ธนาคารออมสิน ถูกแฮก! ATM

 21 ตู้ สูญเงิน 12 ล้าน” นับว่าเป็นข่าวร้อนที่สร้างความหวั่นเกรงให้กับผู้บริโภคได้ไม่น้อย ไหนว่าระบบตู้เอทีเอ็มมีความปลอดภัย และใช้กันมาหลายสิบปีก็ไม่มีปัญหา แต่แล้วกลับมีการโจรกรรมเกิดขึ้นได้ และไม่ใช่น้อยๆ ทำกันได้ถึง 21 ตู้กระจายในหลายจังหวัด หลายพื้นที่ เชื่อว่าใครเห็นข่าวนี้คงตกอกตกใจ หวาดผวาเรื่องความปลอดภัยของระบบอีเลคทรอนิกส์ไม่น้อยแน่นอน

ขนาดตู้เอทีเอ็ม ยังถูกจรกรรมได้ แล้วประสาอะไรกับการทำธุรกรรมการเงินบนมือถือ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก็มีข่าวว่า ผู้บริโภครายหนึ่งถูกระงับซิมโทรศัพท์ ไปขอออกซิมใหม่ และทำธุรรกรรมโอนเงินออกไปจากบัญชีหมดเกือบ 1 ล้านบาท แน่นอนเมื่อจับสองข่าวนี้มาอยู่ด้วยกัน ย่อมสร้างความหวั่นวิตกให้กับผู้ใช้แน่ โดยเฉพาะประเด็นที่ต้องกังวลว่า แล้วทีนี้จะทำอย่างไรกันดี เราใช้โมบายแบงกิ้งอยู่จะมีความปลอดภัยแค่ไหน ข้อมูลทางการเงินของเราจะถูกมิจฉาชีพรุกเข้ามาฉกไปหาประโยชน์ได้หรือไม่

กรณีข้างต้น ธนาคารผู้เป็นเจ้าของบัญชี และเจ้าของตู้เอทีเอ็ม คงต้องมาสร้างความมั่นใจกับผู้ใช้ว่า จะไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีก กรณีนี้ยังดีที่เงินส่วนที่หายไป ไม่ใช่เงินในบัญชีของลูกค้ารายใดรายหนึ่ง แต่ใครจะรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก บอกได้เลยยิ่งในชั่วโมงแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ ลูกค้ากำลังลังเลว่า จะยอมใช้บริการอีเล็คทรอนิกส์ แบบอีแบงก์กิ้งดีหรือไม่ คงมีเหตุให้หวาดกลัวไม่กล้าใช้กันเป็นแน่

อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมายืนยันว่าไม่เกี่ยวโยงกัน เป็นคนละระบบกัน ปัญหาที่เกิดกับตู้เอทีเอ็ม ไม่เกี่ยวกับระบบการเงินอีเลคทรอนิกส์อื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องการทำ พร้อมเพย์ ที่มีการผูกบัญชีเงินฝาก กับบัตรประชาชน หรือเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพื่อเป็นการรับเงิน โดยระบุว่าพร้อมเพย์ คือระบบการรับเงิน จะไม่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินออก อธิบายซ้ำกันอีกรอบว่ามันคนละเรื่องกัน แต่เชื่อเหลือเกินประชาชน ไม่คิดว่าเป็นคนละเรื่องกันแน่นอน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งธนาคารเจ้าของบัญชี ผู้ให้บริการตู้เอทีเอ็ม และค่ายโทรศัพท์มือถือ คงต้องทำงานหนักชี้แจงผู้บริโภค สร้างความมั่นใจให้มากกว่านี้ เพราะปัญหาแบบนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว บั่นทอนความเชื่อมั่นไปอย่างมาก หากไม่เร่งดำเนินการใดๆ เมื่อผู้ประชาชนไม่มั่นใจก็ยากที่จะทำให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งรัฐบาลต้องการผลักดันเรื่อง อีเพย์เมนท์การชำระเงินผ่านอีเลคทรอนิกส์ ทั้งระบบ จะยิ่งต้องเพิ่มความชัดเจน และความมั่นใจในความปลอดภัยของระบบให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นโครการอาจสะดุดลงได้ง่ายๆ