คุณภาพของคน

คุณภาพของคน

การแข่งขันบนโลกใบนี้มันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆครับ พรมแดนที่เคยมีรั้วก็จะลดลงไปเรื่อยๆไปจนถึงไม่มีอีกต่อไป

ผมเองต้องบอกว่า วันนี้ผมเดินทางมากขึ้นเรื่อยๆพบผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมากยิ่งขึ้นจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามทำให้ผมได้มีโอกาสเห็นศักยภาพของคนในแต่ละชาติมากขึ้น มันเหมือนการแข่งขันกีฬา เหมือนเราจะวัดว่านักกีฬาเก่งกว่ากัน ก็ต้องแข่งกันเราถึงจะทราบ 

เมื่อผมไปทำงานกับคนชาติอื่นๆมากขึ้นเราก็พอจะทราบว่า คนไทยเราเมื่อเปรียบเทียบกับชาติต่างๆเป็นอย่างไรบ้าง มันอาจจะไม่ใช่ว่าทุกคนเหมือนกันแต่เป็นว่าโดยมาตรฐานเพราะมีหลายคนบอกว่า “คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก” แล้วก็ยกตัวอย่างมาสักสองสามตัวอย่าง สำหรับผมถ้าจะพัฒนาเราต้องยอมรับความจริงกันก่อนนะครับเพราะถ้าเรามาเถียงกันเพื่อเอาชนะหรือชาตินิยมกันมันก็จบ 

สำหรับผมเองเราต้องเริ่มจากดูตัวเองก่อนแล้วเปรียบเทียบกันเลยว่าเมื่อเทียบตัวต่อตัวในห้องประชุมเราเป็นอย่างไรบ้าง การเตรียมตัวของเราเป็นอย่างไรและของชาติอื่นเป็นอย่างไร แล้วก็ไปดูว่าไหวพริบการโต้ตอบกันบนโต๊ะ เหมือนเราเล่นเกมส์กันอยู่ 

ผมอยากบอกว่าปัญหาข้อแรกของคนไทยคือพื้นฐานภาษาอังกฤษของเราอ่อนด้อยทำให้เราเริ่มต้นก็เสียเปรียบแล้ว อาจจะยกเว้นพวกที่ไปโตในเมืองนอกหรือเรียนโรงเรียนอินเตอร์ ซึ่งบอกเลยว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เด็กไทยจะเปลี่ยนไปเพราะ Gen Z ของเรามีปริมาณไม่น้อยที่เลือกให้ลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์กัน 

อีกสิ่งที่เราด้อยอีกข้อมาจากวัฒนธรรมของเราเองที่ถ่อมตัว เกรงใจ ไม่ชอบโอ้อวด ขนาดที่หลายๆชาติชอบที่จะพรีเซนต์ตัวเอง อันนี้ทำให้คนไทยไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับชาติ ที่ช่างพูด คำว่าเกรงใจฉันไม่มี อย่างคนอเมริกัน คนยุโรป เราตายแน่นอนรวมไปถึงคนเอเซียแบบอินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เขามีวัฒนธรรมที่เป็นแบบตะวันตกมากกว่าเรา 

คนจะเป็นผู้นำ จะต้องขายความคิด ถ้าเราไม่กล้าที่จะอวดว่าเรารู้ ไม่กล้านำเสนอหรือขายไอเดียของเรา ก็ไม่มีวันที่จะชนะแน่นอน

อีกข้อคือ การไม่กล้าแสดงออก อันนี้คนไทยน่าจะอยู่ลำดับท้ายๆเลยครับ เวลาถามอะไรขอไอเดียขออาสาสมัคร อย่าว่าจะยกมือเลยครับ เรียกว่า ไม่อยากจะสบตาด้วยซ้ำไป กลัวมากที่จะต้องพูด ขาดความมั่นใจอย่างแรง ก็คงมาจากวัฒนธรรมของเราเองแต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นนะครับ แต่ก็ยังน้อยไปเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ 

อย่างที่ผมบอกเวลาเราบอกว่า เราดีขึ้นเราคงต้องไปเปรียบเทียบกับชาติอื่น เพราะขณะที่เราบอกว่าเราวิ่งเร็วขึ้นแต่คนอื่นวิ่งเร็วกว่าเราก็แพ้อยู่ดี วันนี้เวลาผมออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศเมื่อก่อนจะเห็นชาติอย่างญี่ปุ่น และเกาหลีออกไปลุยตลาดกัน 

วันนี้เราจะเห็นจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามออกไปลุยตลาดต่างชาติ คนไทยหลายๆบริษัทเราก็เริ่มออกไปสู้กับเขาบ้างแต่เมื่อเทียบกับสัดส่วนแล้วถือว่าน้อยครับคนไทยเดินทางต่างประเทศมากขึ้นนะครับแต่เน้นเที่ยว เน้นชอปปิงา เราติดอัน Top 5 ของโลกในการออกไปชอปปิงในต่างประเทศ 

กลับมาบนโต๊ะประชุมเอาแค่คนในเอเซียผมบอกเลยว่า คนไทยเวลาเจอคนเกาหลี คนสิงคโปร์ เราต้องใช้คน 2 คนสู้กับเขาเหมือนเวลาเราเจอชาวตะวันตกแล้ว ต้องบอกว่าคนเกาหลี คนสิงคโปร์ ถูกฝึกมาให้ครบเครื่อง ขนาดที่คนไทยยังใจไม่ถึงไปคนเดียวไม่ได้ต้องมีเพื่อนไปด้วย อาจจะไม่มั่นใจหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ หรือจะออกไปแนวช่วยๆกันรับผิดชอบ ก็ไม่แปลกใจที่เขาจะรับเงินเดือนมากกว่าคนไทยในเมื่อคนไทยเราต้องใช้ 2 คนหรือมากกว่านั้น 

บางคนเป็นนักออกแบบที่เก่งมาก แต่มีปัญหาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ บางคนพูดภาษาอังกฤษได้แต่ขีดกรอบตัวเองว่าฉันไม่ทำนอกเหนือจากงานออกแบบ เรื่องติดต่อประสานงานกับลูกค้าต้องเป็นคนอื่น 

ผมเจอคนเกาหลี คนสิงคโปร์หนึ่งคนสู้ตายทำเองทุกอย่างได้ ชาติเดียวที่คล้ายๆคนไทยคือญี่ปุ่นนี่ก็ต้องไปไหนแบบที่เป็นทีมไม่ค่อยเห็นญี่ปุ่นมาคนเดียวนะครับ ปัญหาอย่างแรกของเขาคือภาษาคล้ายๆกับบ้านเราแต่ด้วยความมีระเบียบวินัยของชาติเขาไม่ต้องไปเทียบกับเขาเคยครับ

วันนี้ถึงเวลาที่คนไทยต้องพัฒนาตัวเองให้หลากหลายมากขึ้น ใครๆก็มีจุดอ่อนแต่ถ้าเราไม่กำจัดมันออกไปมันก็จะเป็นจุดอ่อนอยู่ดีภาษาไม่ดีก็ไปเรียนไปฝึกฝน พรีเซนต์ไม่เก่งขี้อายก็ไปฝึกให้มันเก่งขึ้นทำบ่อยๆก็ดีขึ้นเอง เข้าสังคมไม่เก่งก็ต้องหัดไปเข้าสังคมมากขึ้นเริ่มจากเล็กๆครับอีกหน่อยก็คล่องเอง 

ถึงเวลาที่เราจะต้องออกจากกรอบเดิมๆเพราะเราหนีไม่ได้ที่จะต้องต่อสู้กับคนทั้งโลกครับ 

ประเทศเป็นประเทศเปิดครับใครๆก็มาทำงานในประเทศไทย แย่งงานคนไทยเราจะเป็นลูกน้องคนต่างชาติหรือเราจะเป็นเจ้านายคนต่างชาติครับ เราเลือกที่จะโดนเขาบุกหรือจะไปบุกเขา

วันนี้เรา เก่งอย่างเดียวไม่ได้แล้วครับเราต้องหลากหลายรอบตัวด้วยครับ