ครบปีแล้วรถคันนี้ ต่อประกันยังไงดีนะ

ครบปีแล้วรถคันนี้ ต่อประกันยังไงดีนะ

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า เมื่อตัดสินใจซื้อรถสัก 1 คัน เงินที่คุณต้องจ่ายไม่ใช่แค่ราคารถตามป้าย

หรืออุปกรณ์ตกแต่งเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องให้คุณเสียเงินตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยอีกหลายจุด ทั้งแบบจิปาถะอย่างการล้างรถเคลือบสี เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือติดสติกเกอร์เพิ่มความสวยงาม และแบบที่ต้องจ่ายจริงจัง ซึ่งการทำประกันภัยรถยนต์ก็ถือเป็นค่าใช้จ่ายส่วนนี้เช่นกัน

ส่วนใหญ่แล้ว รถที่คุณซื้อใหม่ จะพ่วงประกันภัยชั้น 1 มาด้วย ทำให้คุณสบายใจหายห่วงตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ใช้รถคันนี้ แต่เมื่อย่างเข้าสู่ปีที่ 2 เจ้าของรถหลายคนตัดสินใจต่อประกันภัยชั้น 1 กับเจ้าเดิมเพราะไม่ต้องการเสียเวลาศึกษาให้เหนื่อย แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีเงินหนา เบี้ยประกันถือเป็นเงินก้อนโตเชียวล่ะ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจต่อประกัน ไม่ว่าจะกับเจ้าเก่าหรือใหม่ ควรพิจารณาให้ดีๆ ก่อนเลือกค่ะ

รถใหม่เอี่ยมอ่อง หรือร่องรอยเพียบ

ใครๆ ก็รู้ว่าหากต่อประกันรถยนต์กับบริษัทประกันเจ้าเดิมจะได้ประวัติที่ดี โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีการแจ้งเคลมตลอดปีแรกที่ใช้รถ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เจ้าของรถหลายคนทำทีเป็นเมินเฉยต่อรอยขีดข่วน รอยบุบ หรือสีถลอก เนื่องจากอยากได้รับส่วนลดเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น  20% หารู้ไม่ว่าการแจ้งเคลมหลังจากที่ประกันภัยรถยนต์ฉบับใหม่ให้ความคุ้มครองแล้ว ไม่ได้ต่างกับการแจ้งเคลมตั้งแต่เนิ่นๆ เท่าไรนัก เพราะสุดท้าย หากคุณทำประกันกับเจ้าเดิมเป็นปีที่ 3 อาจไม่ได้ส่วนลดเบี้ยประกันเพิ่ม หรือได้เพิ่มไม่มากเท่าที่ใจคิด

ในกรณีที่รถของคุณไม่ได้อยู่ในสภาพเอี่ยมอ่องสมบูรณ์พร้อม และมีจุดที่ซ่อมแซม แต่ต้องการทำประกันกับบริษัทใหม่ ให้รีบเคลมเสียให้เรียบร้อย เพราะอาจมีโอกาสที่เจ้าใหม่จะให้ส่วนลดเบี้ยประกันคุณมากถึง 20% เนื่องจากอยากได้คุณเป็นลูกค้า ซึ่งเมื่อลองเปรียบเทียบดูแล้ว ไม่ต่างอะไรจากที่คุณจะได้จากการทำประกันกับบริษัทเดิมเลย ยิ่งถ้ารถของคุณสภาพดีตลอดทั้งปีที่ 2 ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะได้ส่วนลดเพิ่มมากขึ้นในปีที่ 3 ค่ะ

ในกรณีที่รถของคุณสภาพดี หรือมีประวัติการเคลมแต่คุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ขึึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเลยค่ะ อย่าลืมศึกษาเบี้ยประกันของทั้งที่เก่าและที่ใหม่ให้ถี่ถ้วน และพิจารณาว่าที่ไหนให้บริการดีกว่ากัน โดยอาจดูที่จำนวนสาขาที่ให้บริการว่ามีในพื้นที่ที่คุณสะดวกหรือไม่ มีพนักงานที่ช่วยอำนวยความสะดวกเมื่อเกิดปัญหามากน้อยแค่ไหน เป็นต้น

มือใหม่หัดขับ หรือมือเก๋าเจนถนน

ทักษะในการขับรถสำคัญกับการต่อประกันภัยรถยนต์อยู่ไม่น้อย หากปีที่ผ่านมาคุณเลี้ยวชนเสาไฟฟ้าอย่างน้อย 5 ครั้ง ปีนฟุตบาธ 3 ครั้ง เสยเข้ากับกำแพงบ้านอีกครั้งสองครั้ง แนะนำให้ทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบครบถ้วนตามเดิมต่อไปจะดีกว่า แต่ถ้าประวัติการขับรถของคุณบริสุทธิ์ไร้มลทิน คุณสามารถประหยัดได้ด้วยการเลือกประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แต่กำหนดค่าความเสียหายส่วนที่คุณซึ่งเป็นผู้ขับขี่ต้องรับผิดชอบเองเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นและคุณเป็นฝ่ายผิด (หรือเรียกว่า ‘ค่าความเสียหายส่วนแรก’) ซึ่งมีตั้งแต่ 1,000-5,000 บาทค่ะ โดยวิธีนี้จะส่งผลให้เบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่คุณต้องจ่ายถูกลงด้วย ถือเป็นการประหยัดที่ดีอีกทางหนึ่งนะคะ  ยกตัวอย่างเช่น หากเลือกให้ค่าความเสียหายส่วนแรกเท่ากับ 5,000 บาท ค่าเบี้ยประกันจะลดลงจากยอดปกติ 5,000 บาทเช่นกัน (ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท) จากที่ต้องจ่าย 30,000 บาท อาจลดลงเหลือแค่ 25,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุ โดยคุณเป็นฝ่ายผิด คุณก็ต้องจ่ายเงินรับผิดชอบความเสียหายเท่ากับค่าความเสียหายส่วนแรก 5,000 บาทไม่ขาดไม่เกิน ขอบอกว่าข้อนี้ ขึ้นอยู่กับทักษะและความระมัดระวังในการขับรถจริงๆ

ขับรถแบบ Routine หรือต้องแสวงหาเส้นทางใหม่

ลองนึกภาพข้าราชการสาวที่ชอบความสงบ ใช้รถแค่เฉพาะเวลาไปและกับจากที่ทำงาน หรืออย่างมากก็แวะห้างใกล้บ้านอีกหน่อย กับเซลล์แมนหนุ่มที่ต้องออกไปหาลูกค้าทุกวัน ทำให้ต้องขึ้นเหนือล่องใต้ เปลี่ยนเส้นทางในการขับรถเป็นว่าเล่น คงนึกภาพออกใช่ไหมคะ ว่าความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุต่างกันมากแค่ไหน หากคุณเป็นคนกลุ่มแรก อาจลดความคุ้มครองด้วยการเปลี่ยนมาใช้ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ ซึ่งค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้น 1 มาก แต่คุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สินเหมือนกัน แต่ก็มีข้อยกเว้นหลายๆ อย่าง ตามแต่ที่บริษัทแต่ละแห่งกำหนดค่ะ

ส่วนใครที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 การทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทักษะและความระมัดระวังในการขับรถของคุณด้วยค่ะ

---------------------------

ข้อมูลเพิ่มเติม

https://finance.rabbit.co.th/car-insurance/type1