'ธัมมชโย' ยิ่งสู้ยิ่งเสื่อม

'ธัมมชโย' ยิ่งสู้ยิ่งเสื่อม

เชื่อว่าเวลานี้ คนที่มีใจเป็นกลางอย่างแท้จริง อยากเห็น

 พระเทพญาณมหามุนี” หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่ถูกออกหมายจับมารับทราบข้อกล่าวหา ข้อหาสมคบและร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร จากการรับเช็คของ ศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธาน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ผู้ต้องหายักยอกทรัพย์สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ยอมมอบตัวต่อสู้คดี เพื่อพิสูจน์ตัวเองจะดีกว่า

ขณะที่คำพูดของพระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ ก็น่าคิด(มติชนออนไลน์/25พ.ค.) “อาตมามองว่า เหตุที่พระธัมมชโยไม่ยอมไปให้ปากคำกับดีเอสไอ เพราะต้องการให้ประชาชนมองว่าดีเอสไอไม่มีน้ำยา นอกจากนี้ พระธัมมชโย ยังคิดว่าตนเองมีฐานสนับสนุนที่เข้มแข็งปกป้องตนเองได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของกฎหมาย หากพระธัมมชโยมั่นใจในความถูกต้อง ต้องยอมให้ดีเอสไอเข้าตรวจสอบโดยไม่บ่ายเบี่ยง เหมือนสุภาษิตที่ว่าทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ” 

ส่วนประเด็นที่หลายคนกำลังสงสัยว่า ทำไม “มส.” (มหาเถรสมาคม) จึงนิ่งเฉย พระไพศาล เห็นว่า ประเด็นอยู่ที่พระธัมมชโย มีพระอุปัชฌาย์ หรือผู้อุปถัมภ์เป็นถึงพระเถระชั้นผู้ใหญ่

“ถ้า มส.จะสั่งพักงานพระธัมมชโยก็ทำได้ เหมือนเมื่อปี 2542 ที่พระธัมมชโยโดนคดียักยอกทรัพย์ มส.ยังสามารถทำได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ มส. แต่อยู่ที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ต่างหาก”

ด้าน ดีเอสไอดูเหมือนรู้ไต๋ ของพระธัมมชโยและศิษยานุศิษย์ดีว่า มีเกมที่จะปกป้องพระธัมมชโยอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะการระดมมวลชนมาเป็นเกราะกำบัง รวมทั้งการทำให้เห็นว่า ดีเอสไอกำลังใช้ความรุนแรงกับ พระชรา และกำลังป่วยหนักรูปหนึ่ง เพื่อประจานไปทั่วโลก จึงไม่ผลีผลามที่จะเข้าจับกุม

“สำหรับมาตรการเพื่อให้ได้ตัวพระธัมมชโยมีหลายวิธี ดังนั้นดีเอสไอจึงส่งหนังสือให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ช่วยดีเอสไอ การบุกเข้าจับกุมตัวพระธัมมชโยเป็นวิธีสุดท้ายที่ดีเอสไอจะทำ เพราะไม่อยากใช้อำนาจตามอำเภอใจ ดีเอสไอจะใช้อำนาจตามความจำเป็น และเชื่อว่าสถานการณ์คงคลี่คลายในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ตัวพระธัมมชโยมาแจ้งข้อกล่าวหา ตามมาตรา 141 ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่เรียกหรือจับตัวยังไม่ได้ เมื่อได้ความตามทางสอบสวนอย่างใด ให้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ส่งไปพร้อมกับสำนวนยังพนักงานอัยการได้” แหล่งข่าว ดีเอสไอ ระบุ

ดังนั้น สิ่งที่ “ตู่จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมว่า “ขณะนี้ขบวนการอำมหิต สร้างเกมโหดเหี้ยม พยายามออกแบบกลเกม ลากข้อกล่าวหาของพระธัมมชโยไปให้สมเด็จช่วง ต้องมารับผิดชอบในฐานะเป็นพระอุปัชฌาย์” ก็ไม่เป็นความจริง

แน่นอน สิ่งที่คนทั่วไป คิดและเข้าใจได้ก็คือ เมื่อทำความผิด ก็ต้องเข้าสู่บวนการยุติธรรม ต่อสู้ในศาลเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่มีใครหลบเลี่ยงได้ ตราบใดที่เป็นคนไทย อยู่ภายใต้กฎหมายไทย

ถ้าอ้างว่า “อาพาธหนัก” ก็ต้องพร้อมให้มีการตรวจสอบโดยทีมแพทย์ที่น่าเชื่อถือตามกระบวนการยุติธรรม หรือรับฟังข้อเสนอแนะจากพนักงานสอบสวนแต่โดยดี มิใช่อ้างแต่เฉพาะแพทย์ของวัดพระธรรมกาย และจนวันนี้ ก็ยังไม่มีใครรู้ความจริง(นอกจากศิษย์ใกล้ชิด)ว่า ป่วยหนักหนาสาหัสจริงหรือไม่ แม้แต่สื่อมวลชน

ยิ่งการระดมมวลชน และศิษยานุศิษย์ออกมาปกป้อง พร้อมขึ้นป้ายขนาดใหญ่ หน้าวัดว่าเราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลที่น่ารับฟังไปใหญ่ นอกจากความเชื่อว่าคนคนหนึ่งเป็นคนดี ไม่ทำอะไรที่เป็นความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ใครก็อ้างได้

หรือจะอ้างว่า เป็นพระผู้มีพระคุณ ก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ที่จะนำมาใช้ในการปกป้องคนของตัวเอง ในทางกฎหมายไม่ได้

ดีที่สุด พระธัมมชโย จะต้องไม่ยอมรับการปกป้อง เพราะยิ่งปกป้องก็ยิ่งเผยพิรุธออกมาให้เห็น ถึงความไม่บริสุทธิ์ในทางคดี? ความเสื่อมในพฤติกรรม ที่ดูเหมือนอวดดีอวดเด่นเกินใคร อย่างที่กำลังทำให้ใครต่อใครเห็นว่า เงื้อมมือกฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้

ทั้งยังต้องระวังเอาไว้ให้ดี อาจเสื่อมไปถึง “พระอุปัชฌาย์” ก็เป็นได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาลากไปเป็น “เกม” เชื่อมโยงแต่อย่างใดด้วย