กองทุนเพื่อส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานในสายตาองค์กรระหว่างประเทศ

กองทุนเพื่อส่งเสริมอนุรักษ์พลังงานในสายตาองค์กรระหว่างประเทศ

การกล่าวหาและโจมตีการบริหารนโยบายพลังงานของรัฐโดย NGO บางกลุ่มหรือกลุ่มคนในภาคประชาชน ได้เริ่มจากการจุดกระแส

ราคาน้ำมัน ซึ่งให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดแก่ประชาชนทั่วไป ต่อมาได้ขยายผลถึงการให้สัมปทานปิโตรเลียมของรัฐ ว่าเป็นวิธีที่ประเทศเสียเปรียบเก็บผลประโยชน์ได้น้อย และปัจจุบันได้โยงถึงกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยกล่าวชี้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำมันมีราคาสูง กองทุนฯ ไม่มีความเหมาะสมเพราะเป็นการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันไปสนับสนุนด้านอื่น การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไม่มีประสิทธิภาพและไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์

กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดตั้งขึ้นในปี 2535 ภายใต้ พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยรายได้ของกองทุนฯ มาจากการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมัน ในราคาขายปลีกน้ำมันจะมีการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ในอัตรา 0.07-0.25 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นการเก็บเงินจากผู้สร้างมลภาวะ (เชื้อเพลิงฟอสซิล) รวมไปถึงการใช้น้ำมันที่เป็นสาเหตุให้ประเทศต้องนำเข้าน้ำมันมากขึ้นหากการใช้ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉาะ 85% ของน้ำมันดิบที่ใช้ในประเทศต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินกองทุนฯ ไปสนับสนุนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียนเพื่อลดมลภาวะและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันกับกองทุนเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ NGO ทั้งหลายให้การสนับสนุนซึ่งเก็บเงินจากผู้บริโภคสุราและยาสูบ ไปดำเนินการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพให้กับผู้ประชาชนทุกกลุ่ม

การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากคณะกรรมการกองทุนฯจะต้องทำหน้าที่ประเมินผลตามกฎหมาย และมีการตรวจสอบการใช้เงินโดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแล้ว กองทุนฯ รวมถึงโครงการของกองทุน เช่น โครงการเงินทุนหมุนเวียนด้านพลังงาน โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (โครงการ ESCO Fund) ยังได้ถูกประเมินผลโดยองค์กรระหว่างประเทศซึ่งต่างเห็นว่าเป็นการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนในประเทศไทยได้อย่างแท้จริง จึงได้นำไปเป็นโครงการตัวอย่างในการดำเนินการในประเทศอื่นๆ

โดยผลการศึกษาของธนาคารโลกที่ชื่อว่า “Unlocking Commercial Financing for Clean Energy in East Asia” และงานวิจัยของสำนักงานพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่ศึกษาถึงกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยตรงชื่อ Case Study Report; Thailand Energy Conservation Fund งานวิจัยทั้งสองฉบับได้ศึกษาถึงรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของประเทศไทย มีการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และประเมินผลสำเร็จตามหลักวิชาการ และค้นหาเงื่อนไขและปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จดังกล่าว เพื่อนำไปเผยแพร่ในเวทีโลกให้ประเทศอื่นๆ ได้เรียนรู้และนำไปใช้เป็นแบบอย่าง

ผลการศึกษาทั้งสองเล่มนี้สรุปรวมกันได้ว่า แนวทางในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและการอนุรักษ์พลังงานนั้น จำเป็นที่จะต้องเดินควบคู่ไปพร้อมกันระหว่างการกำหนดแนวนโยบาย และมาตรการที่เหมาะสมร่วมกับการมีเงินทุนให้ธุรกิจเอกชนไปดำเนินโครงการโดยทั้งสองเรื่องนั้น จะต้องสอดคล้องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน สำหรับนโยบายการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องจัดวางให้พร้อมก่อนการสนับสนุนด้านการเงิน โดยหลักการที่สำคัญคือการทำให้ราคาพลังงานเป็นไปตามกลไกตลาดสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ร่วมกับการออกข้อบังคับด้านมาตรฐานของอุปกรณ์ประหยัดพลังงานต่างๆ ส่วนด้านพลังงานทดแทนรัฐจำเป็นต้องช่วยทำให้ต้นทุนการผลิตพลังงานทดแทนลดลงและไม่ควรมีการชดเชยราคาพลังงานจากฟอสซิล หลังจากนโยบายพร้อมแล้ว จึงมาดำเนินงานในด้านการสนับสนุนเงินทุนต่อไป

สำหรับโครงการ ESCO Fund ซึ่งเป็นตัวตอบสนองด้านเงินทุนทั้งงานศึกษาของธนาคารโลกและ UNDP ได้สรุปในทำนองเดียวกันว่าเป็น “นวัตกรรมของการออกแบบโครงการ” ที่เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลสำเร็จของการอนุรักษ์พลังงานและพัฒนาพลังงานทดแทนในประเทศไทย โดยนวัตกรรมดังกล่าวคือการให้ทั้งเงินทุนควบคู่ไปกับการให้คำปรึกษาและวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อให้ผู้ลงทุนได้เรียนรู้และเข้าใจได้ถูกต้องการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการที่ครบถ้วน ทั้งในด้านเทคนิค ศักยภาพพลังงานหมุนเวียน กฎระเบียบ และการเงิน ซึ่งการให้การสนับสนุนด้านเทคนิคนี้ นำไปสู่ความมั่นใจของสถาบันการเงินในการให้การสนับสนุนทางการเงิน เมื่อผนวกกับเงินสนับสนุนจาก ESCO Fund จึงทำให้โครงการเกิดขึ้นได้เมื่อภาคธนาคารได้เห็นโอกาสจากผลตอบแทนและความเสี่ยงที่ลดลง การขยายผลต่อเนื่องสู่โครงการอื่นๆ จึงเกิดขึ้น

ส่วนผู้ลงทุนเมื่อได้ผลตอบแทนมาแล้ว ก็จะต้องส่งเงินคืนกลับเข้าสู่กองทุนฯ เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนให้กับรายอื่นๆ ต่อไป การให้เงินทุนก้อนแรกบวกกับความรู้เชิงเทคนิคจึงเป็นเงื่อนไขจำเป็นที่จะส่งผลต่อไปยังความสำเร็จที่คาดหวังได้ และยิ่งถ้าเป็นวิสาหกิจขนาดเล็กซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนและหลักประกันทางการเงิน โครงการ ESCO Fund จึงต้องออกแบบให้สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ โดยวิธีการสนับสนุนเงินทุนที่ไม่ใช่การให้กู้ยืม แต่เป็นการเข้าร่วมลงทุนหรือการให้เช่าซื้ออุปกรณ์

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดระยะเวลาที่เอาเงินเข้าไปสนับสนุนแต่ละรายไว้เพียง 5-7 ปี หลังจากนั้นได้ถอนตัว เพราะไม่ได้มุ่งหวังที่จะเข้าไปแสวงหากำไรหรือผลตอบแทนเหมือนธุรกิจปรกติทั่วไป โครงการมีเป้าหมายเพียงแค่ว่าให้ธุรกิจพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานสามารถเกิดขึ้นและยืนอยู่ด้วยตัวเองได้

ทั้งหมดนี้คือข้อพิสูจน์ที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานภายใต้มุมมองของธนาคารโลกและสำนักงานพัฒนาแห่งสหประชาชาติที่ได้เห็นถึงความสำเร็จและได้มีการนำไปเผยแพร่ในเวทีสากลแล้ว

---------------------

ภักดิ์ ทองส้ม ผู้อำนวยการบริหาร

สุวพร ศิริคุณ กรรมการ มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม