ฤา “เศรษฐกิจไทย” จะ...เจ็บหนัก ?

ฤา “เศรษฐกิจไทย” จะ...เจ็บหนัก ?

ธนาคารโลกได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจทั้งโลกในปี 2559 ที่ 2.9% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตในปีที่แล้ว

ที่อยู่ที่ 2.4% ขณะที่ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ออกมา พบว่าต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งนั่นคงทำให้คุณผู้อ่านหลายท่านที่ทำมาค้าขายอยู่อาจจะไม่สบายใจนัก วันนี้...ผมจึงอยากพาคุณผู้อ่านออกไปเที่ยวต่างประเทศ และกลับมาเมืองไทยเพื่อดูว่า “เศรษฐกิจไทย” จะเจ็บหนักจริงหรือ? ดังนี้ครับ

หนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจจีนกำลังขย่ม... เศรษฐกิจโลก

ปัจจุบันนี้ ขนาดของเศรษฐกิจของจีนมีความยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าในปี 2559 นี้ เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวประมาณ 6.7% ซึ่งถือว่าลดลงจากปีที่แล้วที่ขยายตัว 6.9% รัฐบาลจีนรู้ดีว่า ภายในประเทศมีปัญหาเรื่องเชื้อชาติและการแบ่งแยกดินแดนเป็นอย่างมาก จีนเองจึงต้องพยายามทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเติบโตในอัตราที่สูง เช่น 7% ให้ได้ โดยเชื่อว่าถ้าทุกคนท้องอิ่มแล้ว ความคิดที่จะต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนก็จะลดน้อยถอยลง

อย่างไรก็ตาม พื้นฐานของเศรษฐกิจจีนมาจากการส่งออก จีนพบว่าปริมาณการส่งออกเริ่มลดน้อยถอยลง ซึ่งมีเหตุผลหลักมาจากประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศเริ่มพัฒนาตนเองได้ดีขึ้น และหันมาเปิดโรงงานผลิตและส่งออกสินค้าแข่งกับจีน จีนจึงพยายามที่เปลี่ยนพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ จากประเทศที่พึ่งพาการส่งออกไปสู่ประเทศที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ เช่น การสร้างทางยกระดับและทางรถไฟไปทั่วประเทศ และการรณรงค์ให้ผู้คนในประเทศนำเงินมาลงทุนจำนวนมหาศาลในตลาดทุนและอสังหาริมทรัพย์ จนในที่สุดก็นำไปสู่เศรษฐกิจฟองสบู่ และทุกวันนี้มันก็ได้สำแดงฤทธิ์เดชออกมาแล้ว ทั้งตัวเลขการเจิรญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ดัชนีตลาดหุ้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ และค่าเงิน ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง...และหาจุดต่ำสุดไม่เจออยู่ในขณะนี้

สอง น้ำมัน”... ตัวซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก

ขณะที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลกยกเว้นสหรัฐต่างประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจ ในสหรัฐก็มีการค้นพบเทคโนโลยีการสกัดน้ำมันออกจากหินดินดานหรือที่เรียกกันว่า “Shale Oil Extraction” ซึ่งคาดว่าภายใน 5-10 ปีนับจากนี้ สหรัฐจะกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกด้วยเทคโนโลยีข้างต้น

ดังนั้น กลุ่มผู้ผลิตหน้าเดิมๆ โดยเฉพาะกลุ่มโอเปคจึงไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น จึงรวมหัวกันเทขายน้ำมันออกมากันและทำให้ราคาน้ำมันดำดิ่งลง ส่งผลให้ปริมาณการผลิตน้ำมันจากหินดินดานลดลงจริงๆ แต่ปัญหาก็กลับไปเล่นงานกลุ่มผู้ผลิตหน้าเดิมๆ เช่น ค่าเงินรัสเซียและเศรษฐกิจรัสเซียดิ่งเหว เศรษฐกิจของเวเนซูเอลาเข้าขั้นวิกฤติ และซาอุดิอารเบียตัดงบประมาณครั้งใหญ่ นำไปสู่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมัน

โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนากรชั้นนำของโลกสัญชาติอเมริกัน คาดการณ์ว่า ทุกๆ วันจะมีน้ำมันที่ผลิตออกมาเกินความต้องการวันละ 5 ล้านบาร์เรล ราคาน้ำมันเบรนท์ (Brent Crude) จะตกต่ำที่สุดในรอบ 16 ปี ซึ่งอาจจะต่ำกว่า 26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นั่นสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจของบรรดาประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะยังตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำต่อไปอีกนาน

สาม เศรษฐกิจประเทศไทย...วันนี้

จากการคาดการณ์ของธนาคารโลกพบว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2559 นี้จะเติบโตขึ้น 2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ขยายตัวสูงถึง 2.5% ก็แสดงว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าปีที่แล้ว ในขณะเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปดูในอดีตก็พบว่า ประเทศไทยขยายตัวต่ำที่สุดในอาเซียน โดยขยายตัวในปี 2556 - 2558 ดังนี้คือ 2.8%, 0.9% และ 2.5% ต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียนติดต่อกันมากว่า 3 ปีแล้ว

โครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยต้องพึ่งพาการส่งออกมากกว่า 60% และพึ่งพาภาคการบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวประมาณ 10-15% บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจในรัฐบาลไทยก็คงจะมีความคิดคล้ายๆ จีนเช่นกัน คือ อยากให้ประเทศไทยพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศและภาคบริการ เพราะรู้ดีว่าการส่งออกในอนาคตจะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมาก แต่จากตัวเลขข้างต้น เราจะลดการพึ่งพาการส่งออกและไปหารายได้ทางอื่นในระยะเวลาอันสั้นนั้น...คงยากมาก...ที่จะเป็นไปได้

สี่ เมื่อรัฐบาล... ฉีดยาแรงกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

ปี 2559 จะเป็นปีแห่งการลงทุนครั้งใหญ่ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2558 รัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบแผนการด้านคมนาคมขนส่งโดยมีโครงการด้านคมนาคมกว่า 20 โครงการ ประกอบไปด้วยโครงการมอเตอร์เวย์ โครงการขนส่งทางน้ำ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 รถไฟทางคู่ 1 เมตร รถไฟทางคู่ 1.435 เมตร โครงข่ายรถไฟฟ้า รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,781,942 ล้านบาท

นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 ให้กระทรวงการคลังจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ (Thailand Future Fund) เพื่อระดมเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1 แสนล้านบาท

การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในครั้งนี้คงจะเป็นส่วนหนึ่งที่พอจะพยุงเศรษฐกิจไทยให้กระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง ในมุมมองของผมเองเชื่อมั่นว่า ปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจไทย แม้ว่ายังจะมีปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาจากต่างประเทศและภายในประเทศก็ตาม เวลานี้จึงน่าจะเป็นเวลาที่เราจะต้องเชื่อมั่นในทีมผู้บริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะนำพาเราไปสู่เศรษฐกิจที่ดีขึ้น

ทำให้นึกถึงคำพูดที่รัฐบุรุษชาวอเมริกันที่ชื่อว่า เฮนรี่ สติมสัน (Henry Stimson) เคยพูดไว้ว่า “The only way to make a man trustworthy is to trust him.” แปลตามความได้ว่า ทางเดียวที่เราจะทำให้คนๆ หนึ่งน่าเชื่อถือได้ ก็คือ... เราต้องเชื่อมั่นในตัวเขา