เทคนิครวย (2)

เทคนิครวย (2)

เรื่องของการให้แล้วรวย นอกจากจะมาจากคำสอนของนักลงทุนไต้หวัน และตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา

ผมคิดว่า สิ่งที่ซึมซับอยู่ในความคิดคือ 

วิธีการให้ของพ่อ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สมัยผมเป็นเด็ก

พ่อผมหาบกระเพาะปลาขายครับเรื่องลำบากเหนื่อย ไม่ต้องพูดถึง วันนึงๆ ก็ได้แค่ร้อยบาท แต่เมื่อผมถามพ่อว่า ทำไมไม่เอาหนังหมูมาแทนกระเพาะปลา หรือใช้เนื้อไก่เลี้ยงแทนไก่ไทย เราจะได้มีกำไรอีกสักหน่อย

พ่อบอกว่า ของพวกนี้ไม่มีคุณภาพ กินแล้วมันแสลง

ตอนนั้นพ่อเขาไม่ได้สอนอะไรตรงๆ แต่วิธีการ การกระทำของพ่อ ทำให้ผมมีรากฐานความคิดว่า ต้องให้สิ่งที่ดี มีคุณภาพกับลูกค้า

เมื่อเริ่มทำธุรกิจอสังหาฯ ยุคนั้นทาวน์เฮ้าส์ที่ขายกันจะมีหน้ากว้าง 4 เมตร ผมก็บอกว่า พฤกษา เราจะทำ 6 เมตร แล้วก็ใช้คอนกรีตผนังรับน้ำหนักซึ่งมีความแข็งแรง ราคาก็ไม่แพง แค่ 3.3 แสนบาทต่อหลัง บนที่ดิน 18 ตร.วา

เชื่อไหม เปิดขาย 1 พันหลัง ขายแค่เดือนเดียวก็หมดเกลี้ยง ตอนนั้น เราแค่เสมอทุน ไม่ได้มีกำรี้กำไรมากมายเพื่อให้ลูกค้าซื้อบ้านได้แต่ในโครงการต่อๆ มา เราก็ยังใช้หลักการเดิมนี่แหละ ก็ประสบความสำเร็จเรื่อยมา

กลายเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ถ้าเรามุ่งคุณภาพ ทำสิ่งที่ดีช่วยให้ลูกค้าซื้อบ้านได้จะเป็นเหตุให้ประสบความสำเร็จ

รวยเร็ว ไม่ได้มาจากการเอาเปรียบนะครับ เพราะถ้าเอาเปรียบก็ไม่มีครั้งที่ 2

แล้วถ้ามีความคิดสร้างสรรค์เพื่อลูกค้า ทำในสิ่งที่ลูกค้าชื่นชอบ แล้วเราก็ก้าวหน้า

จริงๆ ทำอะไรก็รวยทั้งนั้นครับ ขายต้นไม้ ขายเป็ด ขายไก่ ขายก๋วยเตี๋ยวแต่ก็รวยตามอัตภาพ ตามไซส์ธุรกิจขึ้นกับความคิดในจิตใจของเรา ว่าเรา “เพียงพอใจ” หรือไม่

พ่อผมขายกระเพาะปลา รับเงินวันละร้อย ก็มีเงินตามอัตภาพครับ แต่เมื่อผมนำหลักการนั้นมาใช้ต่อ และเนื่องจากผมรู้จักห่วงโซ่ธุรกิจมากกว่า พฤกษา เป็นกิจการที่ใหญ่ มันก็เลยมีกำไรเยอะและเจริญเติบโตต่อเนื่อง

เทียบกับขายก๋วยเตี๋ยว ขายต้นไม้ ร้านตัดผม ซึ่งห่วงโซ่ธุรกิจแคบกว่าเล็กกว่ากำไรก็เลยน้อยกว่า

แต่ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าเรามีหลักการว่า อยากจะให้สิ่งที่ดีกับลูกค้า ก็จะนำสู่ความสำเร็จครับ

สมมุติ เราขายกล้วยทอด ก็ต้องเลือกกล้วยคุณภาพ น้ำมันดีๆ ใช้แป้งทอดที่ดี ก็ทำให้กล้วยทอดมีคุณภาพ ลูกค้าก็มาอุดหนุนเอง

การให้ในงาน ให้สิ่งที่ดี ลูกค้าก็ย่อมมาอุดหนุน ทำให้กล้วยทอดของเราเป็นที่ชื่นชอบครับ

การให้ในงาน ทุกคน ทุกอาชีพทำได้หมดครับ

เป็นหมอ ก็ใช้ความรู้ ความสามารถ รักษาคนไข้เต็มที่ตามวิชาชีพ

เป็นพนักงานขาย ก็ให้ความรู้ ให้คำแนะนำลูกค้า

ใช้ความสามารถในการทำงานให้เต็มที่ นี่คือการให้ในงานที่ดีที่สุด

อย่างเมื่อปี 2536 เราเริ่มตั้งบริษัท ตอนนั้น ต้องมีผู้ตรวจสอบบัญชี ซึ่งเราใช้สำนักงานชื่อดัง คือ เอสจีวี ณ ถลาง ทางผู้ตรวจสอบบัญชีบอกว่า ถ้าจะให้เขารับรองงบกำไรขาดทุนบริษัทผมต้องไม่เอาเงินบริษัทไปใช้จ่ายส่วนตัว หรือนอกลู่นอกทาง ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่มีปัญหาในเรื่องนี้

เมื่องบการเงินเราน่าเชื่อถือ สิ่งที่ตามมา คือ ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินด้วยดีมาตลอด

การให้ จึงมิใช่การให้ด้วยเงินอย่างเดียว แต่เป็นการให้ในงาน ให้ด้วยความรู้ที่เรามี เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้รับ

เราก็เจริญ หรือ ‘รวยด้วยครับ.