การลงทุนท่ามกลางความผันผวน

การลงทุนท่ามกลางความผันผวน

น่าแปลกไหมครับที่ในช่วงเวลาหนึ่ง ราคาที่สูงขึ้นของตัวแปรหนึ่งสามารถมีผลต่อการ(ไม่)เติบโตของเศรษฐกิจ

และในอีกช่วงเวลาหนึ่ง ราคาที่ลดต่ำลงก็สามารถสร้างความกังวลให้แก่ผู้ดำเนินนโยบายของแต่ละประเทศทั่วโลกได้ในลักษณะเดียวกัน 

ผมกำลังพูดถึงราคาน้ำมันดิบ WTI (West Texas Intermediate Crude) ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนเมื่อคืนวันอังคารที่ 12 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา WTI ได้แตะจุดต่ำสุดในรอบ 12ปี ที่ $29.93 ต่อบาร์เรล บนความกังวล 2-3 ประเด็น โดยมีประเด็นหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินหยวน (CNY) ตั้งแต่วันทำการแรกของปีสะท้อนความกังวลในการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน สัญญาณดังกล่าวส่งผลให้ค่าเงินหยวนในตลาด offshore หรือ CNH นั้น อ่อนค่ารุนแรงจาก 6.5687 แตะจุดต่ำสุดที่ 6.7511 ในช่วงเวลา1สัปดาห์ การปรับ fixing ให้อ่อนค่าลงย่อมส่งผลให้เกิด Sell-Off ในตลาด Risky assets ทั้ง ตลาดหุ้น และน้ำมัน รูดลงอย่างรุนแรงหลายวันติดต่อกัน ราคาน้ำมันที่เหมือนจะยืนที่ระดับ $36 ได้ในสัปดาห์แรก กลับทรุดตัวลงแม้ธนาคารกลางของจีนตัดสินใจเข้าแทรกแซงตลาดเงิน CNH ในตลาด Offshore ให้มีเสถียรภาพมากขึ้น

หลายคนคิดว่าราคาน้ำมันที่ทะลุ $30 จะ trigger การ Sell-off ในตลาดหุ้น แต่ตลาดหุ้นเกือบทุกตลาดต่างปิดบวกอย่างที่ค้านความรู้สึก ดัชนีดาวโจนส์เริ่มฟื้นตัวจากแรงซื้อเก็งกำไรก่อนการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ในขณะที่ดัชนีไทยเริ่มมีแรงซื้อ หลังจากที่ปรับลงมามากแล้วในช่วงสัปดาห์แรกของปี และเริ่มเห็นการทรงตัวได้ของกลุ่มสื่อสารและพลังงาน …ราคาน้ำมันที่ต่ำลงน่าจะเป็นผลดีต่อภาคอุตสาหกรรมเนื่องจาก ใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ แต่กลับกลายเป็นความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก เพราะตัวชี้วัดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจตัวหนึ่ง เริ่มเปลี่ยนจากภาวะ Disinflation เป็น Deflation แล้วในบางประเทศ ราคาน้ำมันที่ลดลงส่งผลโดยตรงต่อ Budget balance ของประเทศที่เป็น Oil exporters เช่น รัสเซีย แคนาดา และบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ทั้งในสหรัฐฯ และแคนาดา Wall Street Journal วิเคราะห์ไว้ว่าถ้าราคาน้ำมันอยู่ในระดับ $30 เป็นเวลานาน อาจทำให้ 1 ใน 3 ของบริษัทขุดเจาะน้ำมันต้องล้มหายตายจากไป

ในทางกลับกัน หากมองย้อนไปในปี 2008 ราคาน้ำมันดิบเร่งตัวจาก $90 ต้นปี แตะ $140 ในเดือนกรกฎาคม หลายบริษัทที่มีน้ำมันเป็นต้นทุน เช่น สายการบิน หรือ ขนส่งอื่นๆ ต่างได้รับผลกระทบโดยตรง สาเหตุหนึ่งที่ราคา Spot ถีบตัวอย่างรวดเร็วเป็นเพราะความต้องการใช้ Derivatives ในการ hedge ราคาน้ำมันหากปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ซ้ำร้าย บางบริษัทได้เข้าทำธุรกรรมแบบ Collar ที่ทำให้บริษัทยังคงต้องจ่ายเงิน $90 ทั้งๆ ที่ราคาตลาดลงมาอยู่ในระดับ $40-50 แล้ว ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมส่งผลโดยตรงต่อ Headline Inflation เช่นกัน แต่กรณีของปี 2008 นี้ เป็น Cost-Push inflation เพราะต้นทุนในการทำธุรกิจสูงขึ้น …เคสนี้ ราคาน้ำมันสูงขึ้น จนเกิดความกังวลว่าจะทำให้เศรษฐกิจเกิด Hard landing

จากการพูดคุยกับนักลงทุนหลายท่านในตลาด ปีนี้น่าจะเป็นปีปราบเซียนอีกปีหนึ่ง ดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน (Low for Long) ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์จะมีความผันผวนสูงทั้งปีจากการดำเนินนโยบายการเงินของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ดังเช่น ประเทศจีน หากจะจัดกลุ่มนักลงทุนในบ้านเราเป็น 3 กลุ่มใหญ่นั้น ผมคิดว่ากลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดในภาวะนี้ คือ กลุ่มนักลงทุนประเภทที่รับความเสี่ยงได้น้อยที่สุด เพราะลงทุนในตลาดตราสารหนี้ทั้ง 100% แต่การจะขยับไปสู่ Credit curve หรือ หันไปหาหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีเรทติ้งต่ำ เพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้นนั้น ผมไม่แนะนำ เนื่องจากผลตอบแทนส่วนเพิ่มไม่สามารถชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้นได้

ท่านที่สามารถรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นควรพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนไปยังกองทุนประเภท Property fund ผมคิดว่า Property fund เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหลายท่านที่คิดจะลงทุนซื้อตึกอพาร์ตเมนต์ ที่มีค่าบริหารจัดการรายเดือน Property fund ให้ yield ในระดับ 5.5-8.5% ขึ้นกับว่าเป็น Leasehold หรือ Freehold นอกจากนี้ ยังมีหุ้นบางตัวที่รายได้อ้างอิงกับสัญญาสัมปทานจากภาครัฐ หุ้นลักษณะนี้มักมีการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอในระดับ 4-6% ต่อปี ปัจจัยที่ทำให้ Property fund ได้เปรียบการลงทุนในอพาร์ตเมนต์คือ ท่านสามารถ Exit ได้ทุกเวลาโดยขายหน่วยลงทุนในกระดานได้ ในขณะที่อพาร์ตเมนต์มักมีมูลค่าเพิ่มในราคาที่ดิน ต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาค่าธรรมเนียมและภาษีการโอนด้วยนะครับ
กลุ่มสุดท้ายคือ กลุ่มนักลงทุนในหุ้นแบบ Casual คือ ไม่ได้ทำการบ้านแบบ VI หรือ Value Investors แต่ชอบลงทุนในหุ้นผ่าน “การศึกษาเองจากบทวิเคราะห์” และ “ฟังเขา หรือฟัง (เจ้า) มา” กลุ่มนี้ต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้น คือ หลีกเลี่ยงหุ้นที่มี P/E เกิน 40-50 เท่า หุ้นที่เทรดด้วย P/E สูงเป็นเพราะ 1) Growth Stock คือ นักลงทุนในราคากับ Earning growth 2) Punt คือ หุ้นปั่น กรณีของ Growth stock นั้น ถ้า Earnings ไม่มาตามนัด หุ้นจะถูกขายออกมาแรง ส่วนหุ้นที่มี Price to Book value สูงกว่า 10 เท่า ก็เป็นอีกกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังครับ

อย่าประมาทสถานการณ์น้ำมันนะครับ Morgan Stanley กล่าวว่า ครั้งนี้หนักกว่า ปี1986 และฝังลึกและยาวนานกว่าแต่ละครั้งใน 5 ครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 1970 คงต้องจับตาค่าเงินหยวน ตัวเลขจีน และทิศทางราคาน้ำมันเป็นสำคัญครับ