แนวโน้มตลาดหุ้นปี 2559

แนวโน้มตลาดหุ้นปี 2559

ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ ถือเป็นช่วงของการปรับฐานที่ค่อนข้างรุนแรงกว่าที่คาดไว้มาก

ซึ่งนอกจากจะเป็นไปตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่แย่กว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ยังมีเรื่องฟองสบู่ตลาดหุ้นจีนแตก ราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างรุนแรง บวกกับหลายปัจจัยลบในประเทศ เช่น รัฐธรรมนูญถูกคว่ำ การประมูลคลื่นโทรคมนาคมที่แพงกว่าคาด แนวโน้ม NPL ที่ยังคงไม่ดีขึ้น เป็นต้น ในปีหน้าผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะดีขึ้นกว่าในปีนี้ สาเหตุก็เพราะเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีขึ้น จากหลายๆ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังทำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเราน่าจะได้เห็นประเทศขนาดใหญ่ๆ ที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อย่าง จีน ญี่ปุ่น และประเทศในกลุ่มยูโรโซน ทำการผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและการคลังมากขึ้นอีก ซึ่งจะเป็นตัวช่วยเสริมให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าสู่ตลาดทุน 

ถึงแม้อาจจะมีข่าวกดดันตลาดหุ้นโลกตลอดทั้งปีหน้า คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แต่ผมเชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะ Fed เองก็ไม่อยากเห็นค่าเงินดอลล่าร์ที่แข็งเกินไป และตลาดหุ้นทั่วโลกก็น่าจะสะท้อนผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเอง และในด้านบรรยากาศการลงทุน (sentiment) ไปมากพอสมควรแล้ว  ดังนั้น ในปี 2559 ความกังวลต่อประเด็นนี้ไม่น่าจะมีผลมากนัก ยกเว้นเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มสูงเกินคาด กดดันให้ Fed ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คงเป็นไปได้ยาก

นอกจากนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศหายไปจากตลาดหุ้นไทยเกือบ 400,000 ล้านบาท เรียกได้ว่า เม็ดเงินจากกองทุนต่างชาติระยะสั้นและระยะกลาง แทบจะออกไปจนหมดแล้ว สัดส่วนการถือหุ้นไทยของกองทุนต่างชาติเกือบทุกกองอยู่ในระดับ “Very Underweight” ถ้าปีหน้าเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน เริ่มดีขึ้น ผู้จัดการกองทุนต่างชาติเหล่านี้ ก็จะเริ่มกลับเข้ามาลงทุนใน Emerging Markets และจะแสวงหาตลาดใน Emerging Markets ที่ “ราคา” ยังถูก และมี “เรื่องราว” ที่จะทำให้เศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น ซึ่งตลาดทุนไทยก็น่าจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ

ราคาของหุ้นไทยในปัจจุบันถือว่าต่ำกว่าพื้นฐานมาก เพราะแรงเทขายอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น และแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็น่าจะพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว รัฐบาลเองก็กำลังพยายามปลุกเร้าเศรษฐกิจ ด้วยการเดินหน้าใช้จ่ายงบประมาณตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนในเครื่องจักรและการผลิตใหม่ๆ รวมถึงมีการจัดตั้ง “Thailand Infrastructure Fund” กองทุนขนาด 1 แสนล้านบาท เพื่อร่วมทุนกับภาคเอกชนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยเร่งการลงทุนให้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น

ความพยายามเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยมี “แรงส่ง” ที่ดีขึ้น ยิ่งถ้าดอกผลในมาตรการต่างๆ เริ่มสะท้อนทางตัวเลขเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่า นักลงทุนต่างประเทศก็น่าจะมั่นใจและสนใจตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความยั่งยืนของมาตรการต่างๆ ในแง่ของเม็ดเงินที่อยู่ในระบบด้วย การส่งออกในปีหน้าก็น่าที่จะเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง จากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่เริ่มดูแข็งแรงขึ้น

ปัจจัยลบต่างๆ ที่ประดังเข้ามาสู่ตลาดหุ้นในช่วงนี้ ผมมองว่าเป็นปัจจัยระยะสั้นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากนัก ดังนั้นถือเป็นจังหวะดีในการเข้าลงทุนในบริษัทดีๆ หลายบริษัทที่ราคาลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน สำหรับการพิจารณาเลือกหุ้นสำหรับปี 2559 ควรเน้นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรจะฟื้นตัว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ “ล้อ” ไปกับนโยบายรัฐ ได้แก่

1) หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค ซึ่งทุกคนเชื่อว่าเม็ดเงินที่รัฐบาลอัดฉีดทั้งระบบจะช่วยให้กำลังซื้อภายในประเทศฟื้นตัว ทำให้เห็นการจับจ่ายที่สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะอยู่นานหรือไม่คงต้องติดตามต่อไป โดยหุ้นกลุ่มนี้ประกอบด้วย หุ้นค้าปลีก หุ้นสินค้าอุปโภคบริโภค หุ้นบันเทิง (ส่วนหนึ่งมาจากเม็ดเงินโฆษณาที่จะเริ่มกลับมา) เป็นต้น

2) หุ้นที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ได้แก่ หุ้นวัสดุก่อสร้างและหุ้นรับเหมาก่อสร้าง ที่จะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง เพราะได้รับอานิสงส์เต็มที่จากการที่รัฐบาลเริ่มอนุมัติงบลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไปแล้ว อย่างไรก็ดี ในมุมมองต่างชาติ หุ้นกลุ่มนี้ยังมีความเสี่ยงว่าหากเปลี่ยนรัฐบาล นโยบายการลงทุนเหล่านี้จะล้มเลิกหรือไม่ ซึ่งผมมองว่า อาจจำเป็นต้องออกเป็นกฎหมายหรือยุทธศาสตร์ชาติรับรองเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งนี่จะทำให้หุ้นกลุ่มนี้ รวมถึงตลาดหุ้นไทยไปได้อีกไกล

3) หุ้นที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมใหม่ที่รัฐบาลส่งเสริมและอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ประเทศ ซึ่งเรียกว่าเป็น “อุตสาหกรรมแห่งอนาคต” โดยมี 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงานสะอาด อุตสาหกรรม Medical Hub อุตสาหกรรม Biotechnology อุตสาหกรรมการบิน และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ หุ้นในกลุ่มนี้ นักลงทุนคงต้องลองทำการบ้านเพิ่มเติมดูว่าใครจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้บ้าง

4) หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการส่งเสริมการลงทุนรอบใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนใหญ่ของประเทศหลังจากช่วง 10 ปีที่แทบไม่ได้ลงทุนใหญ่อะไรเลย โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์คือ หุ้นเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือนิคมอุตสาหกรรม และหุ้นธนาคารพาณิชย์ เพราะถ้าการส่งเสริมการลงทุนรอบนี้เกิดขึ้นจริง ย่อมมีธุรกิจเข้ามาขอสินเชื่อเพิ่มขึ้น บวกกับราคาหุ้นธนาคารหลายแห่งที่เริ่มถูกกว่าพื้นฐาน ผมว่านี่อาจเป็นจังหวะดีที่จะลองมองหุ้นกลุ่มนี้อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี การลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังอ่อนแอและแนวโน้มการฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน ย่อมมีความเสี่ยงสูง เพราะเศรษฐกิจไทยยังคงต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก และในภาวะเช่นนี้ ความอ่อนไหวของตลาดทุนต่อปัจจัยลบต่างๆ เช่น เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ก็จะยังมีอยู่สูงมาก ขณะที่ในประเทศเอง รัฐธรรมนูญก็ยังถือเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยซึ่งนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ถ้าประเมินจากระดับราคาหุ้นในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นจะปรับขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า น่าจะมีสูงกว่าโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับลงค่อนข้างมาก