ทำธุรกิจปี 2559 กันอย่างไรดี

ทำธุรกิจปี 2559 กันอย่างไรดี

ผมลองประเมินสถานการณ์ การทำธุรกิจปีหน้า เพื่อรู้ว่าตัวเอง บริษัทควรจะปรับตัวอย่างไร

จะได้รู้ว่าควรจะทำอะไร ไม่ควรทำอะไร จะได้รู้ว่า สนามไหนควรชก สนามไหนไม่ควรชก 

เพราะผมเชื่อมาตลอดว่า สิ่งที่เราทำในวันนี้อาจจะดูดี สำเร็จ แต่ไม่ได้รับประกันว่ามันจะสำเร็จหรือไม่ในเวลาที่โลกมีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไป ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และปรับตัวตลอดเวลา

ดูสถานการณ์โลกกันก่อนแล้วกันนะครับ ! 

ทำธุรกิจสมัยนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ต้องดูโลก-ดูเพื่อนบ้านด้วย เอาแบบไม่นับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบคาดเดาไม่ได้นะครับ ราคาน้ำมันโลก ส่งผลกระทบกับประเทศผู้ผลิตอย่างหนักต่อไป ไม่ว่ากลุ่มตะวันออกกลาง หรือรัสเซียต่อไป ถ้ายังจำกันได้ เมื่อปี 2008 ราคาน้ำมันสูงถึง 140 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปัจจุบันเหลือ 46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ขณะที่รัฐบาลของประเทศเหล่านี้ยังคงใช้จ่ายแบบ “คนเคยรวย” ทำให้ต้องขาดทุนงบประมาณไปเป็นจำนวนมาก 

ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า พิษราคาน้ำมันจะทำให้ 6 ประเทศคือ ซาอุดิอาราเบีย คูเวต กาตาร์ UAE โอมาน และ บาห์เรน ต้องเสียหายทางเศรษฐกิจถึง 215,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 14% ของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ของ 6 ประเทศรวมกัน ทำให้ประเทศเหล่านี้ การเติบโตของจีดีพี เหลือเพียง 1-2 % เท่านั้น 

ปกติบ้านเรามักจะมองตลาดตะวันออกกลางเป็นตัวช่วยเวลาจะส่งสินค้าเสมอ ยามที่ “ยุโรป” กับ “สหรัฐอเมริกา” ยังประสบกับปัญหาอยู่ ส่วนรัสเซียเองก็ยังไม่ฟื้นจากผลกระทบของราคาน้ำมัน เช่นกัน สำหรับบ้านเราจะเห็นได้ชัดจาก จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังบ้านเราตัวเลขหายไปจำนวนมาก โดยเฉพาะ พัทยา และ ภูเก็ต 

อีกข้อคือ ราคาน้ำมันตกต่ำ ทำให้สินค้าที่บ้านเราผลิตได้พลอยราคาลดลงไปด้วย เช่น ราคายางพารา ที่ตกต่ำสุดๆ 

นอกจากนี้ ในบ้านเราเอง เศรษฐกิจก็ยังไม่ฟื้นตัว อันผลพวงมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถคันแรก ที่สร้างความต้องการเทียมขึ้นมา คนไม่พร้อมก็สร้างหนี้ที่ตัวเองไม่พร้อมจ่ายขึ้นมา 

คนกลุ่มนี้กว่าจะกลับมาใช้จ่ายได้คงต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปีถึงจะผ่อนรถยนต์จบ เท่ากับไม่มีกำลังซื้อจากคนกลุ่มนี้ 

โครงการรับจำนำข้าวในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลพวงหนึ่งทำให้ชาวนายังได้ผลกระทบจากราคาข้าวที่ยังตกต่ำจากปริมาณข้าวในสต็อกที่มีมาก และยังมีข้าวเน่าเต็มโกดัง  รัฐบาลขาดทุนจากโครงการเป็นแสนๆ ล้านบาท เป็นภาระถึงปัจจุบัน 

ไหนจะตามด้วยภาวะแห้งแล้งอย่างหนัก ฝนตกน้อย แถมฝนยังตกแต่ใต้เขื่อนอีกด้วย ทำให้เขื่อนกักน้ำไม่ได้ ซึ่งคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะแล้งอย่างหนักแน่นอน เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนมีน้อยไม่พอใช้ในการทำสวนทำนา จะบริโภคยังอาจจะมีเหนื่อยอีก ซึ่งส่งผลให้บรรดาชาวนาชาวไร่เองก็ไม่มีกำลังจะใช้จ่ายในปีหน้าอีกแน่นอนเช่นกัน 

การลงทุนจากภาครัฐ เมกะโปรเจคทั้งหลายไม่มีทางเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วแน่นนอน ถึงแม้เป็นโครงการที่ดีที่จะสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ของประเทศให้แข็งแรงในอนาคต แต่เม็ดเงินไม่ได้กระจายในทันที เพราะกว่าจะประมูล กว่าจะเริ่มการก่อสร้างปีหน้าไม่ทันแน่นอน คิดแล้วก็เหนื่อยแทนคนทำธุรกิจจริงๆครับ 

อย่าหาว่าเป็นพวก Negative เลยครับ ผมว่าบ้างทีเราต้อง “มองมุมลบไว้บ้าง” เพื่อความรอบคอบในการทำธุรกิจ 

อะไรที่ประหยัดได้ประหยัดไปครับ