กิมมิค (Gimmick) อาวุธลับนักการตลาด

กิมมิค (Gimmick) อาวุธลับนักการตลาด

โลกแห่งการตลาด โลกแห่งการแข่งขันเพื่อดึงความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้ซื้อสินค้าหรือบริการของเรามากที่สุด

ว่าแต่จะทำอย่างไรล่ะครับ ก็แน่นอนว่าต้องงัดกลยุทธ์ กลเม็ดเด็ดพรายทุกกระบวนท่าออกมาเพื่อที่จะเรียกร้องความสนใจ 

คงหนีไม่พ้นต้องอาศัยลูกเล่น หรือกิมมิค นั่นเองครับ 

ผมคิดว่าหลายคนคงเริ่มคุ้นเคยกับคำนี้กันแล้ว เพราะใช้กันเยอะมากครับ แต่แก่นคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะได้มันมา นั่นแหละครับของยาก

กิมมิค หรือจะเรียกว่า ลูกเล่น กลเม็ด กลไก แล้วแต่ถนัดเลยครับ เอาเป็นว่าทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกค้าหันมาให้ความสนใจ จนนำไปสู่การจดจำทั้งตัวสินค้า 

วิธีการเปิดตัวสินค้า งานอีเว้นท์ หรือแบรนด์ของเราได้ หรือนึกถึงสิ่งนี้แล้วนึกถึงแบรนด์ของเรา 

นั่นก็หมายความว่า เราได้เข้าไป “นั่งอยู่ในใจลูกค้า” ของเราแล้วนั่นเองครับ 

นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์งานของผมเหมือนกันครับ การจัดงานอีเว้นท์ให้กับลูกค้า ไม่ใช่เพียงแค่จัดแสง เสียง เวที และหา MC เก่งๆ มาพูด เราเริ่มด้วยวิธีคิดที่ว่าทำอย่างไรงานของลูกค้าจะมีวิธีนำเสนอที่แตกต่างและโดดเด่นไปจากแบรนด์อื่น 

และที่สำคัญจะต้องสื่อสารแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่รู้จักและจดจำในภาพลักษณ์ที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งอันที่จริง กิมมิคจะเป็นอะไรก็ได้ครับ ที่จะสะท้อนแบรนด์สินค้า อาจเป็นของที่ระลึกในงาน เทคโนโลยีที่นำมาใช้ หรือวิธีเปิดตัวสินค้า หรือแม้กระทั่งกิมมิคของตัวสินค้าเอง อาจเป็นการเพิ่มฟังก์ชั่น หรือการสนองที่หลากหลาย อาทิ อาจเป็นกระเป๋าใส่แล็บท็อปที่อาจดึงออกมาเป็นที่วางและมีพัดลมระบายความร้อนได้ด้วย บางครั้งกิมมิคก็อาจจะเป็นนวัตกรรม ไอเดีย หรือแนวคิดใหม่ๆ ส่วนจะนำไปใช้ยังไงสำหรับผม 

ผมเคยพูดเสมอว่า ถ้าจะชก ต้องชกให้เข้าเป้า 

หมายความว่า ถ้าคิดงานออกมา แล้วกิมมิคไหนที่พิจารณาว่า ถ้าคนเห็นแล้วไม่ประทับใจ หรือไม่ตื่นตา ไม่น่าสนใจ ก็อย่าใส่ไปเลยครับจะสิ้นเปลืองงบประมาณลูกค้าเปล่าๆ วิธีคิดของผมคือว่า ทำออกมาแล้วต้องเป็น Talk of the Town อึ้ง ทึ่ง ลงกินเนสบุ้ค หรือพลิกมุมคิด สร้างปรากฏการณ์ใหม่ หรือถ้าจะให้เข้ากับยุคนี้หน่อย ยุคที่คนชอบเช็คอิน แชะ และแชร์ 

ก็ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้สามารถแพร่ไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์คได้อย่างรวดเร็ว 

โดยที่คนสนใจอยากเข้ามาเช็คอิน ถ่ายรูปและแชร์กิจกรรมของเราออกไป ผมจะยกตัวอย่างงานที่ทำมาอย่างเช่น ในงานแสดงสินค้าพวกกล้องและเทคโนโลยีการถ่ายภาพ ซึ่งปกติแต่ละบู้ธก็มีกล้องรุ่นใหม่มาโชว์ พร้อมโบรชัวร์บอกสเป็ค ข้อมูลสินค้าและราคา แต่เราคิดวิธีนำเสนอสินค้าโดยการคิดนวัตกรรมที่เรียกว่า “Act Catcher” มานำเสนอให้กับแบรนด์หนึ่ง โดยนำกล้องถ่ายรูปมาประกอบกัน และเชื่อมโยงด้วยซอฟแวร์ที่ทางทีมของผมพัฒนาขึ้นมา สามารถประมวลภาพออกมาในรูปแบบ 360 องศา และที่สำคัญสามารถแชร์คลิปวิดีโอนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดียได้ทันที 

ตอบโจทย์ได้ทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์ในแง่ของการเป็นเจ้าแห่งนวัตกรรม และยังสามารถสื่อสารแบรนด์ได้อย่างแพร่หลายและรวดเร็วในขณะที่จัดงาน ไม่ต้องรอประชาสัมพันธ์หลังจบงานเลยทีเดียวครับ ในงานอื่นๆ ก็เช่นกันครับ อยากให้ลองคิดในหลายๆ มุมครับ และนำหลายปัจจัยมาประกอบกันครับ ส่วนหนึ่งก็ต้องดูว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใคร ใช้สินค้าและบริการเพื่อวัตถุประสงค์ใด ลูกเล่นแบบไหนจึงจะเหมาะกับคนกลุ่มนั้น 

ทั้งนี้ กิมมิคหรือลูกเล่นสำหรับนักการตลาดไม่ใช่เพียงแค่การดึงความสนใจจากลูกค้าเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นนะครับ เพราะอันที่จริงโจทย์คือนอกจากดึงความสนใจมาได้ ก็ต้องสร้างการจดจำในภาพลักษณ์ ในแบบที่เราอยากให้เป็นด้วยนะครับ ถ้ารู้จักเลือกใช้ กิมมิคจะกลายมาเป็นอาวุธลับที่สำคัญสำหรับนักการตลาดเลยทีเดียวครับ