การลงทุนมีความเสี่ยง...มากน้อยเราเลือกเอง

การลงทุนมีความเสี่ยง...มากน้อยเราเลือกเอง

สวัสดีครับในยุคเศรษฐกิจที่มีความท้าทายไม่ว่าจะเป็นกับลูกจ้าง พนักงาน หรือ เจ้าของกิจการนั้น ทุก ๆ คนคงไม่อาจปฏิเสธว่าต้องการมีผลตอบแทน

หรือหาผล ตอบแทนจากเงินที่มีอยู่หรือในกิจการที่ดำเนินการ โดยหากเราพิจารณาจากสภาวการณ์ปัจจุบันนั้นอยู่ในสภาพที่ดอกเบี้ยต่ำ หุ้นไม่ไปไหน อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน และคนไม่ค่อยจะอยู่ในบรรยากาศที่จะใช้เงินแล้วนั้น การหารายได้ที่เกิดกับการลงทุน เป็นเรื่องที่ท้าทายและทำได้ไม่ง่ายนัก 


ปัญหาและความต้องการ

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีเพื่อนผมหลายท่านได้ปรึกษาว่าหากมีเงินอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งอยากเก็บมูลค่าของเงินนี้ให้มีค่าอยู่โดยไม่เสียอำนาจในการซื้อในอนาคต หรือหมาย ถึง ทำอย่างไรให้เงินที่มีอยู่วันนี้ ->เก็บไว้ ->ได้ผลตอบแทน และสามารถซื้อสินค้า เดียวกันได้ในจำนวนที่เท่ากันในอนาคต

ระดับความเสี่ยง

เพื่อนผมก็ได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ แห่งและทำแบบประเมินว่าตัวเองรับ ความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ารับความเสี่ยงไม่ได้เลยต้องลงทุนอย่างไร หรือ ถ้ารับความเสี่ยงได้บ้างก็ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่จะทำให้ทุนที่ลงไปนั้น มีค่าลดลงหรือไม่เท่าเดิมได้ หากรับความเสี่ยงสูงสุดได้ ก็จะเป็นการลงทุนใน สินทรัพย์ที่มูลค่าเปลี่ยนแปลงเป็นปริมาณที่มากๆ ได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งในระดับ ความเสี่ยงแต่ละระดับนั้น การประเมินที่กำหนดนั้นเป็นการประเมินเบื้องต้นจากผู้ ประเมิน แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราผู้ลงทุนจะรับความเสี่ยงหรือระดับการประเมินได้ เหมือนกับผู้ประเมินได้ (เพราะเงินที่ลงทุนเป็นของเรา ไม่ได้เป็นของผู้ประเมิน และหากมูลค่าการลงทุนของเราลดต่ำลงกว่าระดับที่เราลงทุน เราเป็นผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ ประเมินที่เสียหาย)

เป้าหมายการลงทุน

ก่อนอื่นสำหรับเราที่ต้องการมีเงินใช้ในอนาคตหรือต้องการเก็บเงินหรือสินทรัพย์ให้ สามารถมีพอให้ดำรงชีวิต หรือใช้จ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าดูแลบุตรหรือการศึกษา หรือเพื่อความมั่นคงของชีวิตต่อไปนั้น เราต้องตั้งเป้าหมายของผลของการลงทุน เช่น เงินต้นต้องอยู่ครบหรือเปล่า (คำถามนี้แปลกนะครับ ทำไมและมีใครหรือที่จะมีการ กำหนดให้เงินต้นในการลงทุนอยู่ไม่ครบ ไม่มีครับ แต่การลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ มีผลว่าเงินต้นนั้นจะครบหรือเปล่า หรือเรียกภาษาอังกฤษว่า Capital Guarantee หรือไม่)
นอกจากนี้กำลังใจเราแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการลงทุนในสินทรัพย์ที่ต่างกันก็ จะมีการเปลี่ยนแปลงราคาที่ต่างกัน เช่นถ้าเราลงทุนในตราสารที่เป็นสกุลเงินต่าง ประเทศเทียบกับตราสารที่เป็นเงินบาท หากเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าหรืออ่อนค่าลง เมื่อเปรียบเทียบกับเงินบาทนั้น ตราสารที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศก็จะมีการเปลี่ยน แปลงค่าขึ้นลงไปมาเมื่ออัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ตราสารสกุล เงินบาทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงค่าเพราะเป็นเงินสกุลเดียวกัน

อีกปัจจัยที่น่าสนใจคือสภาพคล่องของสินทรัพย์ที่เราลงทุน ซึ่งความแตกต่างกันของ สินทรัพย์ที่เราลงทุนนั้นก็จะมีผลต่อสภาพคล่อง ซึ่งแปลง่าย ๆ ว่าของที่เราลงทุนนั้น ซื้อง่ายขายคล่อง หรือเวลาจะขายหาคนซื้อแทบไม่ได้ หรือกว่าจะขายได้ราคาต้องลด ลงเยอะ หากสินทรัพย์มีสภาพคล่องสูงจะทำให้ราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายไม่ต่าง กันมาก แต่หากไม่มีสภาพคล่องจะทำให้ราคาเสนอซื้อและเสนอขายจะกว้าง

ดังนั้นการตั้งเป้าหมายการลงทุนเป็นเรื่องที่เราต้องกำหนดขึ้นเอง และกำหนดโดย พิจารณาตามความต้องการที่จะเป็น อาทิ ต้องการมีมูลค่าสินทรัพย์โดยรวมเท่าไหร่ ในอนาคต ต้องการเก็บเงินเพื่อส่งให้ลูกหลานเรียนหรือมีใช้เท่าไหร่ในปีไหน ความเสี่ยงของเงินที่อาจจะไม่ได้คืนมีเท่าไหร่หากเราเลือกที่จะลงทุนในสินทรัพย์ ที่มีความเสี่ยงต่อเงินตั้งต้น

เลือกการลงทุน

หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจความต้องการของตนเองพอควรแล้ว และกำหนดความ คาดหวังอย่างชัดเจนแล้วนั้น เราก็ต้องเลือกการลงทุนและกำหนดแนวทางการลงทุน รวมถึงการจดสมมติฐานออกมาเพื่อให้จำได้เอาไว้ ซึ่งการกำหนดสมมติฐานจะช่วย ให้เราแก้ไปการลงทุนของเราหากการลงทุนไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด ซึ่งที่สำคัญคือเรา ต้องถามตนเองว่าเราขาดทุนได้ไม่เกินเท่าไหร่ หรือรายได้หายไปได้ไม่เกินเท่าไร เพื่อให้กำหนดเป็นจุดที่เราต้องเข้าไปบริหารจัดการได้ทันเวลา

ลงทุนไม่ได้พนันหรือเก็งกำไร

บ่อยครั้งที่หลายคนถามผมว่าลงทุนอะไรดีที่ให้กำไรสูง ๆ หรือลงทุนอะไรดีที่ราคา สินทรัพย์ขึ้นเยอะ ๆ ซึ่งในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา การลงทุนกับการพนันนั้นแตกต่าง กัน การลงทุนเราจะทำความเข้าใจสินทรัพย์หรือเหตุของการลงทุน และการเพิ่มค่า ของสินทรัพย์ที่เราลงทุนนั้นจะเพิ่มค่าหรือด้อยค่าลง เราก็จะเข้าใจและซื้อหรือขาย สินทรัพย์ที่เราเลือกลงทุนนั้น ๆ เพราะเราเข้าใจว่าสินทรัพย์นี้เปลี่ยนค่าเพราะอะไร แต่การพนันนั้นไม่เหมือนกัน การพนันหรือการเก็งกำไรอาจเกิดจากการเข้าใจ สินทรัพย์หรือไม่ก็ได้ เพียงแต่ซื้อหรือขายเพื่อให้ได้เงินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ราคาสินทรัพย์ดังกล่าว ทั้งนี้การซื้อๆ ขายๆ ซื้อเช้าขายบ่าย ซื้อปุ๊บขายปั๊บ ไม่ได้หมายถึงการลงทุน

นักลงทุนหรือนักเก็งกำไร

การเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรนั้นไม่ได้หมายความถึงว่าเป็นนักเก็งกำไรไม่ดี ต้องเป็นนักลงทุนเท่านั้น แต่ทั้งนักเก็งกำไรและนักลงทุนนั้นผลตอบแทน ความเสี่ยง วินัยในตนเอง และการบริหารจัดการจะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่น่ากลัว คือ เราคิดว่าเราเป็นนักลงทุน แต่จริง ๆ แล้วเราเป็นนักเก็งกำไร แต่ไม่ได้มีการกำหนดวินัยให้ดีพอ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นได้หากไม่เป็นอย่างที่ เราคิดเอาไว้

ในภาวะของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันนั้น เป็นสภาพที่ดอกเบี้ยต่ำ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน คนไม่ค่อยใช้เงิน ตลาดหุ้นเปลี่ยนแปลงไปมา สินค้าโภคภัณฑ์ก็ผันผวน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปไม่ใช่แค่ประเทศเรา เท่านั้น การลงทุนเรายังคงต้องทำอยู่ การกำหนดเป้าหมายโดยเริ่มต้นจากการเข้าใจ ตัวเองจะทำให้เราเลือกได้ว่าเราจะเสี่ยงได้แค่ไหน และเราจะเป็นนักลงทุนหรือนักเก็ง กำไร ความเสี่ยงมากน้อยเรากำหนด และทางออกเพื่อแก้ไขจะทำได้ถ้าเราเข้าใจ… เราเลือกเอง