ล้างเท้าก่อนขึ้นธรรมาสน์

ล้างเท้าก่อนขึ้นธรรมาสน์

ใกล้จะถึงวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน เสียงวิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญจะดังหนาหูขึ้นเรื่อยๆ

 แม้แต่ในสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ความเห็นต่อรัฐธรรมนูญก็ต่างกัน มีการประดิษฐ์ถ้อยคำแสบๆ คันๆ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนนำไปพาดหัวข่าว ราวกับพฤติกรรมนักเลือกตั้ง

ไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทย นปช.และขบวนการต้านเผด็จการทหาร จะมองว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เพิ่งเผยแพร่ เป็นรัฐธรรมนูญฉบับจับประชาธิปไตยใส่กรง พร้อมกับชี้ว่า “คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ” (คปป.) นั้น เป็นการสืบทอดอำนาจของ คสช.

ท่าทีและจุดยืนของกลุ่มดังกล่าวข้างต้น จึงต้องการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในชั้นประชามติ และไม่ถือว่าเหนือการคาดหมายใดๆ เนื่องจากพวกเขาประกาศตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตย จะให้มาเห็นด้วยกับ คสช.คงเป็นไปไม่ได้

ที่น่าประหลาดใจคือ กลุ่มการเมืองที่เคยเสนอแนวทางแก้ปัญหาวิกฤตการเมือง ด้วยข้อเสนอนายกรัฐมนตรีมาตรา 7 กลับแสดงความคิดเห็นเยี่ยง “นักประชาธิปไตยจ๋า” ชำแหละร่างรัฐธรรมนูญ จนผู้คนหลงเข้าใจผิด คิดว่าเป็นแนวร่วมมุมกลับของพรรคเพื่อไทย

ทำนองเดียวกัน นักเคลื่อนไหวมวลชนที่แอบเชียร์ “อำนาจนอกระบบ” หรือเคยเรียกร้องให้ทหารยึดอำนาจ ก็สวมเสื้อคลุมนักประชาธิปไตย สนับสนุนให้สมาชิก สปช.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ต้องรอให้ถึงช่วงการทำประชามติ

นักรัฐศาสตร์ชื่อดังที่เคยออกแบบแนวคิด “สภาประชาชน” ผ่านมาตรา 3 และมาตรา 7 ให้ภาคประชาชนสถาปนาอำนาจเป็นรัฏฐาธิปัตย์ โดยเป็นการตีความแบบกว้างๆ และอ้างถึงสถานการณ์ไม่ปกติ ก็ยังแสดงความเป็นนักประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “อาจารย์ปื๊ด” กับชาวคณะเป็นคนร่าง

สมัยที่มีการเสนอการตั้งสภาประชาชนด้วย “มาตรา 3” นั้น นักวิชาการจำนวนไม่น้อยบอกว่า มันทำไม่ได้ และไม่เป็นประชาธิปไตย แต่นักรัฐศาสตร์และเพื่อนพ้องกลับเห็นว่าเป็นทางออกในยามวิกฤต

คนพวกนี้เข้าใจว่า คสช.ยังคงต้องการอยู่ในอำนาจต่อไป แต่ที่ไม่พอใจในร่างรัฐธรรมนูญ เพราะผลประโยชน์เฉพาะหน้ามากกว่า นักเลือกตั้งบางคนอ่านเกมว่า ในอนาคตจะเกิด “รัฐบาลแห่งชาติ” แน่ๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีแก่พรรคตน จึงอาศัยจังหวะนี้คว่ำรัฐธรรมนูญเสียเลย

นักแต่งตั้งบางกลุ่มแอบหวังที่จะเข้าไปเป็น “คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ชุดใหม่ที่ คสช.จะแต่งตั้งใหม่ ถ้า สปช.คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ หรือรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ

สำหรับสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)หลายคน ที่ไม่มีจริตแบบ “เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” ต่างยืนยันว่า การออกแบบ คปป. ไม่ได้ทำตามใบสั่งของ คสช. แต่เป็นใบสั่งของสถานการณ์จำเพาะ “ในระยะเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งเป็นความจริงของประเทศไทยที่ไม่เหมือนชาติใดในโลก

พูดง่ายๆ พวกเขาเห็นว่า ต้องให้คณะทหารอยู่ต่อ เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ที่คนทั้งประเทศทราบดี แม้แต่นักเลือกตั้งสองพรรคใหญ่ ก็รู้ที่มาที่ไป แต่บางคนต้องเล่นไปตามบท

ความอลหม่านในฟากฝ่ายเชียร์ทหาร น่าจะมาจากเรื่องผลประโยชน์เฉพาะหน้าที่ไม่ลงตัว เพราะผู้คนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านทุนสามานย์นั้นมาจากหลากหลายกลุ่ม คสช.คงจะตอบสนองให้ทั่วถึงทุกกลุ่มคงเป็นไปได้ยาก

ฉะนั้น อยากฝากผู้คนในฟากฝ่ายเชียร์ทหาร จะออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างไร ได้โปรดล้างเท้าก่อนขึ้นธรรมาสน์ ถ้าเท้าไม่สะอาด แล้วขึ้นไปนั่งเทศน์เรื่องความสะอาดปลอดภัย ใครจะเชื่อถือ

วันก่อนยังเพรียกหาอำนาจนอกระบบ พอมาถึงวันนี้ เกิดอยากเป็นนักประชาธิปไตยแบบฉับพลัน มันก็เข้าข่ายหลอกลวงชาวบ้าน มิใช่หรือ?