ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวอินเดียหลังเหตุระเบิดราชประสงค์

ความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวอินเดียหลังเหตุระเบิดราชประสงค์

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจ มายังผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บชาวไทยและต่างประเทศ

จากเหตุการณ์ที่มีผู้ก่อการร้ายวางระเบิด ในบริเวณศาลท่านท้าวมหาพรหมสี่แยกราชประสงค์ เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ 17 ส.ค.2558

เหตุการณ์ดังกล่าวนับว่ารุนแรงมาก และทำลายความรู้สึกที่ดีของชาวไทย ที่กำลังปลื้มปีติจากงานปั่นจักรยานเพื่อแม่ (Bike for Mom) ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันอาทิตย์ก่อนหน้าด้วยความสุข มีประชาชนคนไทยหลายหมื่นเข้าร่วมกิจกรรมทั่วประเทศ และน่าจะได้รับการบรรจุในนิตยสารกินเนสส์ (Guinness Book of World Record) ว่ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมปั่นจักรยานมากที่สุดในโลก

ในเช้าวันจันทร์ที่ 18 ส.ค.2558 หนังสือพิมพ์รายวันของอินเดียฉบับหนึ่ง มีการลงข่าวบรรยายและภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงพระราชดำเนินนำนักปั่นทั้งหลายเข้าร่วมกิจกรรม ยังความปลาบปลื้มแก่พสกนิกร แต่พอวันรุ่งขึ้นก็มีภาพและข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์วางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งทำให้ทุกคนรวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ที่กำลังคิดจะมาท่องเที่ยวประเทศไทย เริ่มหวั่นไหวเกี่ยวกับความปลอดภัย

แต่หลังจากที่มีความชัดเจนมากขึ้น ว่าเป็นเหตุการณ์ที่ผู้ก่อการร้ายน่าจะมุ่งบั่นทอนความนิยมด้านการท่องเที่ยว และซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่รัฐบาลพยายามประคับประคองให้ผ่านพ้นกระแสที่โหมมาจากภาวะเศรษฐกิจโลก และการที่ชาวไทยทุกฝ่ายให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงมาตรการของ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่ให้ความช่วยเหลือชดเชยแก่ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดึงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มคลายความกังวล มีรายงานข่าวว่า นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ถึงกับออกมาประกาศสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวที่คิดจะมาเที่ยวเมืองไทยอย่าเปลี่ยนใจ ก็ยิ่งมีส่วนช่วยเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยว และให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ในการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้

โดยที่เหตุระเบิดครั้งนี้ เกิดขึ้นในศาสนสถานอันเป็นที่เคารพสักการะของชาวฮินดูด้วยเช่นกัน จึงมีปฏิกิริยาของชาวอินเดีย ออกมาแสดงความเสียใจค่อนข้างมาก นายกรัฐมนตรีโมดี ได้ทวิตแสดงความเสียใจและประณามการกระทำดังกล่าว รัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดีย นางสุษมา สวราช ก็ได้ส่งสารแสดงความเสียใจมายังรัฐมนตรีต่างประเทศไทย ในขณะเดียวกัน ผมได้เห็นภาพของเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย นายหรรษ วรรณ ศฤงคลา (Harsh Vardhan Shringla) และคณะเจ้าหน้าที่ของสถานทูตอินเดีย ไปตรวจดูสถานที่เกิดเหตุและสักการะท้าวมหาพรหมอีกครั้ง ก็รู้สึกชื่นชมที่ท่านได้ไปเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่โดยไม่หวั่นเกรง

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ส.ค. 2558 ทางวัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เมืองกุสินารา ก็ได้ร่วมกับคณะสงฆ์นานาชาติทำพิธีสวดมาติกา ทอดผ้าบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต ณ มกุฎพันธเจดีย์ สถานที่ถวายเพลิงพระศพของพระพุทธเจ้าด้วย ทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลเรียกความเชื่อมั่นของบริษัททัวร์ และนักท่องเที่ยวชาวอินเดียให้กลับคืนมาไม่มากก็น้อย

ในช่วงที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดีย เดินทางไปไทยกำลังเพิ่มขึ้นด้วยดี หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่รุนแรงในช่วงปี 2556-2557 โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค. - มิ.ย.2558) มีนักท่องเที่ยวอินเดียไปไทย 526,160 คน (เพิ่มขึ้น 76,529 คน หรือร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2557) และคาดว่าน่าจะเกินหลักล้านภายในสิ้นปี 2558 นี้ ไทยยังคงเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ซึ่งมีทั้งตลาดบน เช่น มหาเศรษฐีมาจัดงานแต่งงานที่กรุงเทพฯ ภูเก็ต หัวหิน หรือมาเล่นกอล์ฟ รวมทั้งระดับครอบครัวชั้นกลาง เป็น Family Holiday และผู้ที่พอมีเงินเก็บ และต้องการไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรก ก็จะเลือกเมืองไทย เพราะเราสามารถจัดหาบริการให้ได้ทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวต้องการ รวมทั้งค่าใช้จ่ายก็ไม่แพงมากแต่คุ้มค่าเงิน

หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่สี่แยกราชประสงค์ ก็มีนักท่องเที่ยวอินเดียโทรศัพท์มาสอบถามสถานทูต เรื่องความปลอดภัยบ้าง ในขณะเดียวกัน ก็มีทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวที่รู้จักและเดินทางไปเมืองไทยบ่อยๆ ส่งอีเมลเข้ามาให้กำลังใจรัฐบาล ให้จับกุมผู้กระทำผิด เหตุการณ์ครั้งนี้จึงมิได้ทำให้นักท่องเที่ยวอินเดียกังวลเลย นสพ.ฉบับหนึ่งของอินเดีย ก็ยังไปสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัททัวร์ชั้นนำของอินเดีย เกี่ยวกับการยกเลิกจองตั๋วเครื่องบิน หรือการเดินทางไปไทย ก็ปรากฏว่าไม่ได้กระทบต่อความตั้งใจของนักท่องเที่ยวเลย บริษัทที่รับจัดทัวร์โดยการสั่งจองทางอินเทอร์เนตกลับตอบว่า ยอดนักท่องเที่ยวที่จะไปเมืองไทยจะยังคงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนกันยายน/ตุลาคมนี้ ซึ่งอินเดียจะมีวันหยุดยาวสลับกันไปเกือบทุกๆ 2 สัปดาห์ นักท่องเที่ยวจึงยังคงตั้งใจไปเที่ยวเมืองไทยต่อไป

ในส่วนของสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงนิวเดลี นำโดยเอกอัครราชทูต ชลิต มานิตยกุล ก็จะยังคงเดินหน้าจัดงานส่งเสริมการท่องเที่ยวและอาหารไทยต่อไป โดยในช่วงสุดสัปดาห์นี้ สถานทูตไทยได้จับมือกับโรงแรมโอเบอรอย (Oberoi Hotel) ซึ่งเป็นโรงแรม 5 ดาวชั้นนำของอินเดีย จัดกิจกรรมสอนทำอาหารไทย (Thai Cooking Workshop) ให้แก่เชฟของโรงแรมชั้นนำในกรุงนิวเดลี (ซึ่งบางโรงแรมมีการนำเสนออาหารไทยเป็นส่วนหนึ่งของเมนูบุฟเฟต์ แต่ยังไม่มีเชฟคนไทย) ครูจากโรงแรมสอนทำอาหาร (Culinary School) และนักชิมและเขียนบทความเกี่ยวกับอาหาร (Food Critics) ให้ได้เข้ามาเรียนรู้การทำอาหารไทยจากเชฟชั้นครู จากภัตตาคารและโรงเรียนสอนทำอาหารบลูเอลีเฟนท์ (Blue Elephant) ที่มีชื่อเสียงของไทย และมีร้านอาหารในเครือหลายแห่งในยุโรปมาเป็นผู้สาธิต

การจัดกิจกรรมสอนทำอาหารไทยจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 28 ส.ค.นี้ และในวันรุ่งขึ้นสถานทูตไทยร่วมกับสำนักงานทีมประเทศ อาทิ ททท.และการบินไทย ก็จะจัดงานกาลาดินเนอร์เพื่อส่งเสริมอาหารไทย โดยมีเชฟชั้นครูจากภัตตาคารบลูเอเลเฟนท์ มาแสดงฝีมือเต็มที่ ในงานยังมีการแสดงของคณะนักแสดงจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม โดยมีแขกรับเชิญ ได้แก่ บุคคลระดับสูงในวงสังคม นักธุรกิจรายสำคัญๆ คณะทูตานุทูต และสื่อมวลชน ที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการท่องเที่ยวในกรุงนิวเดลี งานนี้เรียกว่าเป็นการประชาสัมพันธ์และเรียกความมั่นใจจากชาวอินเดียระดับบน ให้ยังคงนิยมเดินทางมาเมืองไทยต่อไป

แม้จะมีเหตุการณ์ก่อการร้ายเกิดขึ้น แต่ประเทศไทยจะต้องเดินหน้าต่อไป ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวอินเดียเข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทยดีพอ ระเบิดครั้งนี้จึงไม่น่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่น แต่หากผู้ประกอบการชาวไทย โดยเฉพาะบริษัททัวร์และโรงแรม ยังมองชาวอินเดียเหมือนเหยื่อที่จะต้องเอาเปรียบหรือโกงต่อไป ความไม่พอใจจากปากต่อปากของนักท่องเที่ยวชาวอินเดียต่างหาก จะกลายเป็นระเบิดลูกน้อยๆ ที่ค่อยๆ ตัดโอกาสของไทยไปเรื่อยๆ