แข่งเดือดแพลตฟอร์มทีวี

แข่งเดือดแพลตฟอร์มทีวี

การเริ่มต้นออกอากาศ “ทีวีดิจิทัล” 21 ช่องใหม่และอนาล็อกคู่ขนานดิจิทัล 6 ช่องในเดือนเม.ย.2557

ส่งผลให้ “ผู้ชม” มีตัวเลือกในการรับชมช่องรายการฟรี!! มากขึ้น จากเดิมมีตัวเลือกดูฟรีจากช่องทีวีดาวเทียม และจ่ายเงินทางช่องทางเพย์ทีวี   

ในกลุ่มแพลตฟอร์มดูฟรี ที่หวังรายได้จากโฆษณา “ทีวีดิจิทัล”ช่องใหม่ ยังอยู่ในช่วงลงทุนสูงจากต้นทุนค่าใบอนุญาตที่ต้องผ่อนจ่าย 6 ปีแรก และการลงทุนคอนเทนท์ระดับ 500-1,000 ล้านบาทต่อช่องต่อปี ในกลุ่มนี้มีทั้งช่องที่ถอดใจขอถอนตัวจากธุรกิจและช่องที่ประสบความสำเร็จทั้งแง่เรทติ้งและรายได้โฆษณาเพียงปีแรก แต่เป็นธุรกิจที่มีเวลาพิสูจน์ฝีมือระยะยาว 15ปี ตามอายุใบอนุญาต

ขณะที่การแข่งขันช่องทีวีดาวเทียม กลุ่มที่มีคอนเทนท์โดดเด่น ยังมีโอกาสไปต่อได้ จากต้นทุนค่าเช่าโครงข่ายส่งสัญญาณดาวเทียมต่ำกว่าทีวีดิจิทัล อีกทั้งมีฐานครัวเรือนไทย 70% ที่เข้าถึงแพลตฟอร์มทีวีดาวเทียม แต่ปัจจุบันต้องแข่งขันแย่งฐานผู้ชมดูฟรีกับช่องทีวีดิจิทัล

ฟากธุรกิจ เพย์ทีวี ยังเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ของ 2 ค่ายใหญ่ ทรูวิชั่นส์และซีทีเอช โดยช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหลัง ซีทีเอช คว้าลิขสิทธิ์การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 ฤดูกาล 2013-2016 ด้วยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท โดยวางตำแหน่งเป็น คิง ออฟ คอนเทนท์ หวังใช้สร้างแพลตฟอร์ม “เพย์ทีวี” กลุ่มแมสผ่านเครือข่ายเคเบิลทีวีท้องถิ่น ด้วยแพ็คเกจราคาต่ำ 399 บาทต่อเดือนช่องเอสดี และ 599-899 บาทต่อเดือนช่องเอชดี ประกาศเป้าหมายสมาชิกสิ้นปี 2557 ไว้ที่ 3 ล้านราย แบ่งเป็นฐานสมาชิกซีทีเอช 7 แสนราย ที่เหลือมาจากกลุ่มพันธมิตรต่างๆ ทั้งกล่องดาวเทียม กล่องไอพีทีวี เว็บไซต์ และผู้ให้บริการมือถือ หวังรายได้ปี 2557 ที่ 7,000 ล้านบาท หลังปี 2556 ขาดทุน 4,000 ล้านบาท

แต่ตัวเลขล่าสุดที่ ซีทีเอช แจ้งผลประกอบการปี 2557 มีฐานสมาชิกอยู่ที่ 1.3 ล้านราย สัดส่วน 50-55% มาจากระบบสมาชิกที่รับชมพรีเมียร์ลีกหรือราว 7 แสนราย ขณะที่รายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท

เมื่อก้าวสู่ฤดูกาลสุดท้าย 2015/16 การบริหารสิทธิพรีเมียลีกฯ กลยุทธ์ที่จะนำมาใช้สร้างตัวเลขรายได้ ให้ใกล้เคียงต้นทุนค่าใช้จ่ายลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกฯ ปีละ 4,000 ล้านบาท จึงถูกงัดมาใช้ทันที!!! วิธีง่ายที่สุด ขึ้นราคา ด้วยพบว่าคอบอลพรีเมียร์ลีกไม่ต่างจาก“คนติดบุหรี่” หากสินค้าขึ้นราคา ก็ยังต้องซื้อ!! หรืออีกนัยแฟนบอลพรีเมียร์ลีก เป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง ราคาเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย!!

โค้งสุดท้ายการบริหารสิทธิพรีเมียร์ลีกปีนี้ ซีทีเอช จึงเปิดด้วยกลยุทธ์“ขึ้นราคา” แพ็คเกจหลักดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ครบทุกนัด จาก 399 บาท เป็น 599 บาทต่อเดือน หรือเพิ่มขึ้นอีก 200 บาท หากคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับเพิ่มขึ้น 50% จากนั้นเดินหน้าจับมือพันธมิตร ขยายฐานกลุ่มแมสผ่านช่องทางกล่อง เว็บไซต์ และมือถือเช่นเดิม ด้วยเป้าหมายเพิ่มสมาชิกปีนี้อีก 1.7 ล้านราย รวม 3 ปี 3 ล้านราย สัดส่วน 50-55% คือสมาชิกพรีเมียร์ลีก เป้าหมายปีนี้ซีทีเอช ต้องการเห็นรายได้ 6,000 ล้านบาท

หากปีนี้ทำได้ตามแผนจริง!! ยังเป็นตัวเลขที่อยู่ในภาวะ ขาดทุน จากปัจจัยต้นทุนพรีเมียร์ลีกที่สูงลิ่ว แต่หากสามารถสร้างแพลตฟอร์มเพย์ทีวีที่ตัวเลข 3 ล้านรายในช่วง 3 ปี ซีทีเอช มองว่าเป็นการลงทุนที่ไม่เลวร้าย เพราะธุรกิจนี้คู่แข่งรายสำคัญ “ทรูวิชั่นส์” อยู่ในตลาดมากกว่า 20 ปี มีเป้าหมายสมาชิกสิ้นปีนี้ที่ 3 ล้านรายเช่นกัน

แต่ปัจจัยสำคัญของ ซีทีเอช อยู่ที่ปลายปีนี้ ซึ่งจะมีการแข่งขันชิงลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลใหม่ ที่ผู้เข้าร่วมประมูลฝ่ายไทย น่าจะอยู่ที่เพย์ทีวี 2 รายใหญ่ ทรูวิชั่นส์และซีทีเอช และตัวแปรสำคัญ“ผู้ประกอบจากการต่างประเทศ” หากสิทธิไม่ได้อยู่ในมือซีทีเอช การรักษาฐานสมาชิกเดิมให้อยู่กับแพลตฟอร์มดูจะเป็นภาระหนัก!!

ไม่ว่า “ใคร” จะเป็นผู้ครอบครองลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก “ธุรกิจเพย์ทีวี” ยังอยู่ในภาวะแข่งขันรุนแรง จากทั้งผู้เล่นใหญ่ในธุรกิจนี้ และคู่แข่งจากแพลตฟอร์มฟรีทีวีดิจิทัล หลากหลายช่องที่เข้ามาเป็นตัวเลือกรับชมคอนเทนท์ฟรี!!