เร่งเครื่องสองภารกิจคลัง

เร่งเครื่องสองภารกิจคลัง

หนึ่งในภารกิจหลักของกระทรวงการคลัง คือ การจัดเก็บรายได้ หากจะให้ประเมินผลงานด้านนี้ คงต้องบอกว่า ยังสอบไม่ผ่าน

 แม้ว่า 6 เดือนแรกของการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล จะอยู่ในระดับใกล้เคียงเป้าหมาย แต่หากพิจารณาถึงไส้ในของผลการจัดเก็บแล้วจะพบว่า การจัดเก็บรายได้ของกรมจัดเก็บภาษีหลักโดยเฉพาะ กรมสรรพากรต่ำกว่าเป้าหมายถึง 4 หมื่นล้านบาท และ ยังมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายกว่า 1.8 แสนล้านบาท

ส่วนกรมศุลกากรก็ชัดเจนว่า รายได้จะต่ำกว่าเป้าหมายแน่นอน ผลจากการนำเข้าสินค้าที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน ผลจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงจำนวนมาก ทำให้ภาษีที่เก็บจากน้ำมันนำเข้าปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ล่าสุด 6 เดือนแรก ยอดจัดเก็บรายได้ต่ำเป้าหมายแล้ว 2.5 พันล้านบาท ด้านกรมสรรพสามิตนั้น ยอดจัดเก็บที่สูงกว่าเป้าหมาย 1.5 หมื่นล้านบาท ก็เป็นผลจากการปรับขึ้นภาษีน้ำมันดีเซล โดยทั้งปีรายได้จะเพิ่มจากเป้าหมายราว 2 หมื่นล้านบาท

แต่เพียงรายได้จากกรมสรรพสามิตที่เพิ่มขึ้น ไม่สามารถทดแทนรายได้รัฐบาลที่หายไปจาก 2 กรมภาษีดังกล่าว กระทรวงการคลังพยายามทุกวิถีทางที่จะรีดรายได้ให้เข้าเป้า เพราะถือเป็นผลงานหลักโดยนอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพทุกช่องทางในทุกกรมภาษีแล้ว ยังสั่งเพิ่มเป้านำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญในยามที่เครื่องมือทางด้านภาษีทำงานไม่เต็มที่ด้วย

อีกภารกิจหลัก คือ ด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ 

แน่นอนว่า ผลการเบิกจ่ายภาครัฐไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังเพียงหน่วยงานเดียว แต่กระทรวงการคลังถือเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่เร่งรัดและปล่อยงบ นอกเหนือจากกำหนดวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ปีนี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้สูงมาก โดยเฉพาะในส่วนของงบลงทุน เพราะต้องการให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจาก เครื่องมือหลักด้านการส่งออกแทบจะไม่ทำงาน

เป้าหมายเบิกจ่ายงบลงทุนปีนี้อยู่ที่ 80% ของวงเงินรวม ผลเบิกจ่ายล่าสุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ การเบิกจ่ายงบลงทุนยังอยู่ในระดับ 31% ขณะที่ การทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างยังอยู่ในระดับกว่า 40% เท่านั้น นั่นหมายความว่า เงินงบที่จะปล่อยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจก็จะล่าช้าออกไป

ทั้ง 2 ภารกิจหลักนี้ มีผลสำคัญอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจไทย ในแง่รายได้ ชัดเจนว่า เมื่อเงินในกระเป๋ารัฐบาลน้อยลง ย่อมกระทบต่อการใช้จ่ายทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทำให้รัฐบาลต้องกู้ยืมมาใช้จ่าย ส่งผลต่อระดับหนี้สาธารณะโดยเฉพาะกรณีที่เศรษฐกิจไม่ขยายตัวตามคาด ส่วนการใช้จ่ายนั้น เมื่อล่าช้า นอกจากจะกระทบต่อการลงทุนภาพรวม ยังจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคเอกชนด้วย

วันนี้ (22เม.ย.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำทีมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด เปิดแถลงผลงานกระทรวงการคลังรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการทราบ คือ แนวทางขับเคลื่อนสองภารกิจหลักให้มีการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผลงานที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นจากภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้แล้ว