กิน อยู่ เป็น เห็นสุขภาพดี

กิน อยู่ เป็น เห็นสุขภาพดี

จะยากดี มีจน เศรษฐีหรือยาจก ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ “ความสุข” คือคำตอบสุดท้าย ของทุกคน “การกินเป็น อยู่เป็น” ก็ถือว่าเป็นประเด็นหลัก

 ที่เพิ่มความเข้มข้นในการสร้างความสุขให้กับชีวิต นอกเหนือจากการ ดูหนัง ฟังเพลง พูดคุยเสียงหัวเราะ ดังนั้น จึงพลาดไม่ได้ ที่ทุกคนต้องติดเทรนด์ ให้กับตัวเอง เพื่อสุขภาพที่ปรารถนา เป็นสะพานนำพาไปสู่ความสุขที่แท้จริงของชีวิต ดังคำกล่าวที่ว่า “ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ”


“รู้หรือไม่รู้กันแน่” ว่าการกิน การอยู่ หรือการบริโภค ของคนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ถึงแม้จะเป็นกระแสที่มีการกินเพื่อสุขภาพ หรือกินอาหารที่สะอาดและปลอดภัย แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็มีการบริโภคที่ไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ไม่ต่อเนื่อง ไม่เพียงพอ และไม่ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน ด้วยเหตุหลายปัจจัยที่ ทำให้เร่งรีบ ไม่มีเวลา เทรนด์การบริโภคนิยม ที่ตามมา จนทำเป็นประจำ ตามใจปากจนกลายเป็นวิถี ที่มองข้ามความปลอดภัย จนทำให้โรคภัยคุกคามตามมามากมาย จนบางคนถึงกับต้องมีอันเป็นไปก่อนวัยอันควรเลยทีเดียวค่ะ


เรามาลงมือเพื่อ “เจาะลึก การกินเป็น อยู่เป็น เทรนด์ฮิต สุขภาพดี” กันดีกว่านะคะว่า จะกินอย่างไร จะกินแบบไหน จะกินอะไร ถึงจะถือว่า “กินเป็น ติดเทรนด์ สุขภาพดี” จะอยู่อย่างไร จะอยู่แบบไหน ถึงจะถือว่า “อยู่เป็น ให้ติดเทรนด์ สุขภาพดี” ดังคำกล่าวที่ว่า “กินดี อยู่ดี ชีวีเป็นสุข” จริงหรือจะไม่จริงก็ลองตามไปดูกันดีกว่าไหมคะ


เรามาลงมือเพื่อ เจาะลึก การกินเป็น อยู่เป็น เทรนด์ฮิต สุขภาพ กันดีกว่า จะกินอย่างไร จะกินแบบไหน จะกินอะไร ถึงจะถือว่า “กินเป็น ติดเทรนด์ สุขภาพดี” จะอยู่อย่างไร จะอยู่แบบไหน ถึงจะถือว่า “อยู่เป็น ให้ติดเทรนด์ สุขภาพดี” ดังคำกล่าวที่ว่า “สุขภาพดี ชีวีเป็นสุข” หรือจะไม่จริงลองตามไปดูกันดีกว่า


เริ่มจากการให้ความใส่ใจตัวเองว่าเอ๊ะ “น้ำหนักของตัวเอง” เพิ่มขึ้น หรือลดลง มากน้อยขนาดไหน แต่ว่ามักจะเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ส่วนว่าจะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ปัจจัยแห่ง การกิน การอยู่ของแต่ละคนที่ทำตัวของตัวเอง


แล้วคุณล่ะคะ มีน้ำหนักเกิน หรือ ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Indicator : BMI) เกินรึเปล่า ? ค่า 40 หรือมากกว่านี้ เป็นโรคอ้วนขั้นสูงสุด 35.0 - 39.9 เป็นโรคอ้วนขั้นที่ 2 28.5 - 34.9 เป็นโรคอ้วนขั้นที่ 1 23.5 - 28.4 เรียกว่าน้ำหนักเกินแล้ว 18.5 - 23.4 น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ น้อยกว่า 18.5 น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ เรามาหาค่า BMI วัดความอ้วน หาไขมันส่วนเกินในร่างกาย แล้วมาคำนวณหาความเสี่ยงในการเป็นโรค กันดีกว่า


โดยวิธีการหาค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยความสูงยกกำลังสอง (หรือหารด้วยความสูงเป็นเมตรคูณด้วยความสูงเป็นเมตรนั่นเอง) ลองดูกันบ้างนะคะ


ต่อมาก็ลองก้มหน้ามองตัวเองอีกสักหน่อยว่า “พุง หรือรอบเอว ” เพิ่มขนาดใหญ่ขึ้นตามมาอย่างไร ถ้าจะให้มีมาตรฐานมาวัดด้วยก็อยากให้ลองวัดรอบเอวกันดูบ้างเพื่อเทียบกับค่าปกติของดัชนีมวลกายที่ปกติว่าเกินกันหรือไม่ ถ้าปกติ หญิงไม่เกิน 32 นิ้วหรือ 80 ซม., ชายไม่เกิน 36 นิ้ว หรือ 90 ซม. รู้แล้วอย่างนี้จะมัวรีรอกันไปทำไมกันล่ะคะ


แล้วคุณล่ะคะ มีรอบเอวเกิน รึเปล่า ? การวัดรอบเอว ที่ถูกต้อง จะต้องอยู่ในท่ายืน เท้าทั้ง 2 ห่างกัน ประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วใช้สายวัด วัดรอบเอวโดยวัดผ่านสะดือควรวัดในช่วงหายใจออก (ท้องแฟบ) โดยให้สายวัดแนบลำตัว ไม่รัดแน่นและให้ระดับของสายวัดที่วัดรอบเอววางอยู่ในแนวขนานกับพื้น


ก็แค่ 2 ประการ “น้ำหนักของตัวเอง” และ “พุง หรือรอบเอว” ที่เช็คด้วยตัวเองนี้ก็น่าจะวัดได้ว่า ตัวเองมีพฤติกรรม การกิน การอยู่ เป็นอย่างไร และจะพยากรณ์ คาดเดาอนาคต กำหนดให้กับชีวิตของตัวเองได้ หากเริ่มต้น ใส่ใจกันอย่างจริงจัง ด้วยการหันมาดูแลใส่ใจ ด้าน การกิน การปฏิบัติตน ให้ถูกวิธี นะคะ


*เส้นวัดรอบเอว คือ เส้นวัดสุขภาพ


การวัดเส้นรอบเอวของคนเรา นอกจากจะหมายถึงสัดส่วนของเรา โดยคะเนด้วยสายตาแล้ว ยังมีผลการศึกษาที่พบว่า ปริมาณไขมันในช่องท้อง จะมีความสัมพันธ์กับ ขนาดเส้นรอบเอว และยังมีความสัมพันธ์ กับการเกิดมากมายหลายโรค เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง หลอดเลือดแตก โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ เพราะฉะนั้น คนที่มีรอบเอวใหญ่ จึงมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติ เรามารู้จักกับไขมันสะสมกันดีกว่านะคะ


การที่เราจะรู้ได้ว่า เรามีไขมันสะสม ในอวัยวะช่องท้องมากน้อยแค่ไหน รู้ได้จากการวัดเส้นรอบเอว สำหรับผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 36 นิ้วหรือ 90 เซนติเมตร และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 32 นิ้วหรือ 80 เซนติเมตร ซึ่งถือว่า “เป็นอันตราย” และเกิดโรคอ้วน โรคภัยอื่น ๆ และถ้าหากจะควบคุมภายหลังนั้นหรือ ก็สุดแสนลำบาก ยากเข็ญ บางครั้งจนถึงกับต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เกิดการสูญเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ซึ่งเป็นภัยมืดด้านสุขภาพของคนไทยหรือคนทั่วโลกในยุคปัจจุบันอย่างมาก


*การควบคุมน้ำหนัก คือการควบคุมรอบเอว ไม่ลองหรือจะรู้ความจริง


“ปากเป็นตัวกำหนด” จริงหรือไม่จริง ? “การควบคุมน้ำหนัก เป็นการควบคุมรอบเอว” ทำได้อย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่ยากยิ่งนัก และเป็นไปได้ด้วยตัวเราเอง ปากมีไว้พูด มีไว้กิน แต่หากกินไม่ดี กินไม่ถูกหลักโภชนาการแล้ว หรือภาษาอีสานเรียกว่า “กินตามใจ และฟังความปาก” ก็ย่อมจะมีผล แห่งเหตุนั้นตามมา เรามารู้วิธีการกินเป็นกันดีกว่าไหมหละคะ


* กินเป็น กันแค่ไหนเอ่ย ??????


“กินเป็น” นั้นเขากินกันอย่างไร “กินเป็น” คือ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด และเค็มจัด อาหารในรูปไขมัน น้ำมัน มาการีน น้ำตาล แป้ง และเกลือ เช่น เค้ก คุกกี้ มันฝรั่งทอด โรตี และของดอง อาหารที่มีสารปนเปื้อนสารพิษ อาหารที่มีแอลกอฮอล์ อาหารที่ผสมสารปรุงรส เป็นต้น ซึ่งอาหารที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วทำให้คนที่กินเป็นประจำ “ตายผ่อนส่ง” กันเร็วขึ้นนะคะ จึงจำเป็นที่จะต้อง “กินเป็น” และ ควรรู้จักหลีกเลี่ยงการกินด้วยตัวเอง


“การกินอย่างสมดุล” เขากินกันอย่างไร ควรควบคุมสัดส่วนปริมาณอาหาร กลุ่มข้าว แป้ง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง ขนมหวาน น้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม และไขมัน ให้พอเหมาะในแต่ละวัน โดยผู้หญิง ควรได้รับพลังงาน วันละ 1,600 แคลอรี ส่วนผู้ชาย วันละ 2,000 แคลอรี แล้วควรที่จะต้องใส่ใจเสียตั้งแต่วันนี้


“กินอาหารเช้า จำเป็นมากน้อยแค่ไหนกัน” ทำไมทุกวันต้องกินอาหารเช้า เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อหลัก เพื่อกระจายปริมาณพลังงานอาหาร ให้พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายทำงานได้ดี เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานของอวัยวะในร่างกาย ป้องกันความจำเสื่อม นอกจากนั้น จะช่วยให้ร่างกายไม่หิวมาก ในช่วงบ่าย และควบคุมอาหารมื้อเย็นให้กินได้น้อยลงได้ “ควรกินอาหารแต่พออิ่มในแต่ละมื้อ” ไม่ควรบริโภคจนอิ่มมากเกินไป


“กินอาหารธรรมชาติ ไม่แปรรูป” เช่น เมล็ดธัญพืช กลุ่มข้าวแป้ง ได้แก่ ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด กลุ่มน้ำมัน ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่ว งา เป็นต้น เพราะมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารสูง


“กินผักและผลไม้ไม่หวานให้มากพอ และครบ 5 สี” คือ สีน้ำเงิน ม่วง แดง เขียว ขาว เหลืองส้ม และแดง เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค จากสารเม็ดสีในผัก ผลไม้ และควรปลอดภัยจากสารเคมี


“กินอาหารมื้อเย็นตั้งแต่กลางวัน” เวลา สำหรับอาหารมื้อเย็น ควรห่างจากเวลานอน ไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง เพราะในช่วงเวลานอนหลับ ระบบประสาทสั่งงาน ให้ร่างกายพักผ่อน เกิดการสะสมไขมันในอวัยวะช่องปากมากขึ้น


นอกจากจะควบคุมการกินอาหารแล้ว การออกกำลังกาย ยังเป็นการลดไขมันหน้าท้อง ได้เป็นอย่างดี โดยควรออกกำลังกายที่ชื่นชอบ สัปดาห์ละ 3 วัน วันละไม่น้อยกว่า 30 นาที หากเราสามารถลดน้ำหนักตัวได้ 5-10% ของน้ำหนักไขมัน ในช่องท้อง จะลดลงไปได้ถึง 30% แต่ทั้งนี้ ต้องอาศัยความมุ่งมั่น และตั้งใจจริง นอกจากจะต่อสุขภาพแล้ว ยังทำให้บุคลิกของเรา ดูดีขึ้นอีกด้วยนะคะ


ดังนั้น ความสำคัญของการรู้ค่าดัชนีมวลร่างกาย เพื่อประเมินหาส่วนไขมันในร่างกาย ซึ่งค่าดังกล่าวนิยมใช้ในการคำนวณอย่าง แพร่หลาย เนื่องจากคำนวณง่าย และสามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัย และทุกเชื้อชาติ หากผู้ที่มีความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและเส้นรอบเอวที่ไปในทางที่มากกว่า ค่าปกติ ถ้าไม่ลองควบคุมน้ำหนัก และควบคุม อาหาร การกิน ต่อให้ชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหนๆ จ้างก็ไม่มีวันรู้จริงว่า จะควบคุมน้ำหนักและลดไขมันส่วนเกินได้ และไม่มีวันรู้ว่าวิธีนี้เป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่จะตามมามากมายหลายโรคได้เป็นอย่างดี


รู้แล้วก็ทำตามนะคะ จะได้ “เห็นทางสุขภาพดี” เป็นคนติดเทรนด์ฮอตฮิตนะคะ