ใคร?สั่งดึง'วายุภักษ์'..ซื้อหุ้นบางจาก

ใคร?สั่งดึง'วายุภักษ์'..ซื้อหุ้นบางจาก

ในที่สุดการประชุมคณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ถือเป็นการประชุมบอร์ด

วาระพิเศษ มีมติเห็นชอบ แนวทางการขายหุ้นโรงกลั่นในบริษัท บางจากปิโตรเลียม (BCP) ที่บริษัท ปตท.ถืออยู่ 27.22% ให้กับกองทุนวายุภักษ์ 15% เป็นไปตามคาด ที่เหลืออีก 12% ขายให้กับผู้สนใจรายอื่น

ไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บอกชัดเจนแนวทางขายหุ้นบางจากครั้งนี้ "ไม่ใช่การล้มดีล" ที่เสนอราคามา แต่เป็นการเปิดกว้าง พิจารณาข้อเสนอที่ดีที่สุด พร้อมๆ กับเชื่อว่าการขายหุ้นรอบนี้ ปตท.น่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท

มติบอร์ดปตท.อาจทำให้เกิดข้อสงสัยอยู่ไม่น้อย สำหรับกลุ่มโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA)ของตระกูล "มหากิจศิริ" ทั้งๆ ที่เสนอราคาซื้อถึง 36 บาทต่อหุ้น แต่ไม่ได้รับการพิจารณา ทำให้บอร์ดปตท.กลับต้องมาเรียกประชุมวาระพิเศษ เพื่ออนุมัติให้กองทุนวายุภักษ์ เข้ามาถือหุ้น 15%

เกิดข้อสงสัยว่าทำไม? กองทุนวายุภักษ์ ถึงไม่เสนอตัวที่จะเข้ามาซื้อหุ้นโรงกลั่นบางจากตั้งแต่แรก ประเด็นถัดมาใคร? เป็นพ่อชักแม่สื่อ ไปดึงเอากองทุนวายุภักษ์ เข้ามาเสียบ จนทำให้ไม่สามารถตัดสินใจขายหุ้นส่วนนี้ให้กับผู้เสนอราคาสูงสุดรอบที่ผ่านมาได้ หรือกลุ่มผู้เสนอก่อนหน้านี้ ยังไม่เป็นที่ "ปลาบปลื้มของใครบางคน" หรือว่าราคาที่เสนอมาต่ำเกินความเป็นจริง ตรงนี้คณะกรรมการปตท.น่าจะให้คำตอบได้ดีที่สุด

ว่ากันว่าเรื่องนี้จริงๆ ต้องมีการนำเสนอเข้าที่ประชุมบอร์ดปตท.ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแล้วที่จังหวัดระยอง ซึ่งมีแผนที่จะพิจารณาเรื่องการขายหุ้นบางจากอยู่แล้ว แต่ด้วยเหตุผลที่ว่ากองทุนวายุภักษ์ ไม่สามารถจัดการเอกสารเรื่องนี้ได้สำเร็จ จำเป็นต้องเลื่อนการประชุมมาเป็นวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมานั่นเอง

จริงๆ แล้วจะขายหุ้นส่วนนี้ให้กับใคร คงเป็นหน้าที่ของปตท.มากกว่าว่า ใครเหมาะสม ใครให้ราคาดี อำนาจการตัดสินใจน่าจะอยู่ที่ปตท.

แต่เหตุไฉนเรื่องนี้ถึงได้เกี่ยวโยงไปหา "ผู้มีอำนาจ" เข้ามาเกี่ยวข้องและแทรกแซงการขายหุ้นครั้งนี้จนได้ บ้างก็อ้างว่ามีการสั่งการไม่ให้ขายหุ้นให้กลุ่มที่เสนอราคามารอบแรก บ้างก็บอกว่ามีกลุ่มคนไปฟ้อง "ผู้มีอำนาจ" สั่งเบรก เพราะกลุ่มที่เสนอราคาสูงอยู่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล บ้างก็ว่าเป็นกลุ่มคนที่"ผู้มีอำนาจ"ไม่ปรารถนา

มีการกล่าวอ้างกันต่างๆ นานา อ้างไปถึงความไม่สบายใจของผู้นำ อะไรจะขนาดนั้น แค่การขายหุ้นบางจาก 27.22% ยังเกิดอาการวิตกขนาดนี้ หากกลัวมากมาย จริงๆ ไม่ต้องประกาศขายออกไปก็ได้ เพราะอย่างไรเสีย การขายให้กับกองทุนวายุภักษ์ เท่ากับรัฐบาลยังถือหุ้นอยู่ดี

เรื่องนี้แม้แต่ "ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" ประธานคณะกรรมการปตท. เองก็เคยประกาศชัดเจน "ต้องการสร้างความโปร่งใสในธุรกิจน้ำมัน ลดปัญหาการผูกขาดตลาดลง ที่ผ่านมาปตท.ถือหุ้นในตลาดค้าส่งน้ำมันมากเกินไป" ฉะนั้นหากยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการขายหุ้นออกแล้วจะลดการผูกขาดที่เคยกล่าวหาปตท.ได้อย่างไร

เอาละวันนี้จะขายหุ้นส่วนนี้ให้กับกองทุนวายุภักษ์ หรือให้กับธุรกิจกลุ่มไหนไม่สำคัญ แต่ทำอย่างไรที่ปตท.จะต้องขายหุ้นได้ราคาดีกว่ากลุ่มของตระกูล "มหากิจศิริ" แต่หากยอมรับสภาพขายหุ้นถูกกว่า หรือเป็นราคาเดียวกับที่ ตระกูล "มหากิจศิริ" เสนอ อาจเป็นประเด็นที่ต้องตอบคำถามอีกมากมาย ดังนั้นเรื่องนี้หนีไม่พ้นที่ ปตท.ต้องคิดหนักที่จะให้ได้ราคาที่ดีกว่าเดิม

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เริ่มมีคลื่นใน บางจาก ออกมาคัดค้านการขายหุ้นส่วนนี้เสียแล้ว หากเสียงคัดค้านมีน้ำหนัก ภารกิจใหญ่คงจะตกอยู่ที่ปตท.แน่นอน

หากขายหุ้นส่วนนี้ออกไปได้จะตอบสังคมได้อย่างไรเรื่อง "ผูกขาดตลาด" แล้วใครต้องรับผิดชอบหากมีกระแสต้านปตท.ขึ้นมาในข้อหา"ผูกขาดตลาด" ยิ่งกว่านี้หากสัดส่วนที่เหลือ บังเอิญ ปตท.ยังรับหน้าที่ถือหุ้นต่อไปจะตอบสังคมอย่างไร

อย่างไรก็ดี ผู้เขียน ต้องกราบขออภัย บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ไม่ใช่กลุ่มบริษัทของกลุ่มตระกูล "มหากิจศิริ" แต่อย่างใด