รัฐวิสาหกิจกับการแข่งขัน (อย่างเท่าเทียม)

รัฐวิสาหกิจกับการแข่งขัน (อย่างเท่าเทียม)

ผมเชื่อว่าการแข่งขันเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

รัฐวิสาหกิจก็ไม่สามารถหนีจากสภาวะการแข่งขันได้ เพราะรัฐวิสาหกิจเป็น "วิสาหกิจ" ที่ต้องหารายได้ มีคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อม ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว รัฐวิสาหกิจมีทางเลือกสองแนวทาง แนวทางแรกพยายามรักษาอำนาจผูกขาดของตนให้มากที่สุด หรือหาทางใช้อำนาจรัฐลดการแข่งขัน รวมทั้งทำทุกวิธีที่จะกีดกันคู่แข่งรายใหม่ๆ ไม่ให้เกิดขึ้น แนวทางที่สอง เร่งปรับปรุงตัวเองให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างจริงจัง

ตราบใดก็ตามที่รัฐวิสาหกิจเป็น "วิสาหกิจ" ที่ต้องหารายได้ รัฐวิสาหกิจไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันได้ และควรต้องได้รับการสนับสนุนให้แข่งขันอย่างแท้จริง เพื่อที่รัฐวิสาหกิจนั้นจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ไม่เป็นระเบิดเวลา ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างสภาวะการแข่งขันที่เท่าเทียมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจกับผู้ประกอบการเอกชน การแข่งขันที่เท่าเทียมกันนอกจากจะสร้างแรงกดดันให้รัฐวิสาหกิจต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังจะช่วยให้คู่แข่งทำธุรกิจของตนได้เต็มศักยภาพ ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการแข่งขัน

ปัจจุบัน การแข่งขันระหว่างรัฐวิสาหกิจไทยกับผู้ประกอบการเอกชนมักไม่เท่าเทียมกัน ถ้าจะส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจทำหน้าที่ของตนได้อย่างยั่งยืน ไม่สร้างภาระให้แก่ประชาชนผู้เสียภาษีในระยะยาวแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะต้องสร้างบรรยากาศการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในส่วนที่รัฐวิสาหกิจได้เปรียบผู้ประกอบการเอกชนนั้น ผมคิดว่ามีอย่างน้อยห้าเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไข เรื่องแรกคือควรแก้ไขพระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้าให้ครอบคลุมรัฐวิสาหกิจที่มีอำนาจเหนือตลาดด้วย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ชัดเจนในการค้าหากำไร ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียที่กฎหมายแข่งขันทางการค้ายกเว้นรัฐวิสาหกิจ ถ้าเราจะปฏิรูประบบเศรษฐกิจไทยแบบจริงจังแล้ว การบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าเป็นเรื่องสำคัญมาก และรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ควรต้องเป็นตัวอย่างของการแข่งขันที่เป็นธรรม

เรื่องที่สอง รัฐวิสาหกิจไม่ควรได้รับสิทธิ์พิเศษในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ มีกฎเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างอีกหลายเรื่องที่เอื้อให้รัฐวิสาหกิจได้สิทธิประโยชน์เหนือคู่แข่งเอกชน กฎเกณฑ์เหล่านี้ควรถูกทบทวนและพิจารณายกเลิกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เรื่องที่สาม สำหรับกิจการที่ให้บริการสาธารณะ หรือดูแลสวัสดิการประชาชนผู้ด้อยโอกาสแล้ว รัฐบาลควรเปลี่ยนนโยบายให้เงินอุดหนุนจากที่เคยให้แก่รัฐวิสาหกิจ ไปเป็นให้เงินอุดหนุนโดยตรงแก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกได้ว่าจะใช้เงินอุดหนุนนั้นซื้อบริการจากรัฐวิสาหกิจหรือจากผู้ประกอบการเอกชนก็ได้ เช่น แทนที่รัฐบาลจะให้รัฐวิสาหกิจทำโครงการรถเมล์ฟรี หรือรถไฟฟรี รัฐบาลควรออกคูปองให้แก่กลุ่มผู้โดยสารยากจน และให้ผู้โดยสารเหล่านั้นสามารถนำคูปองไปใช้บริการกับผู้ประกอบการขนส่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นรถร่วมบริการของภาคเอกชน เรือด่วน หรือแม้แต่วินมอเตอร์ไซค์

การเปลี่ยนวิธีให้เงินอุดหนุนยังสามารถทำได้ในกรณีของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ล้มลุกคลุกคลานมาหลายรอบ โดยให้รัฐบาลจัดวงเงินสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและให้ธนาคารพาณิชย์แข่งขันกันนำวงเงินสินเชื่อพิเศษนี้ไปให้บริการลูกค้าภายใต้อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด ธนาคารพาณิชย์จะเป็นผู้รับความเสี่ยงหนี้เสียเอง ไม่กลับมาเป็นภาระหนี้เสียให้รัฐบาลต้องตั้งสำรองและเพิ่มทุนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าด้วยวิธีนี้ลูกค้าจำนวนมากจะได้รับบริการที่ดีกว่าจากธนาคารพาณิชย์เมื่อเทียบกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ รวมทั้งรัฐบาลจะมีต้นทุนต่ำกว่าด้วย

เรื่องที่สี่ รัฐบาลควรเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจที่อาจจะเคยเก็บซ่อนไว้เพื่อช่วยลดแรงกดดันจากการแข่งขันให้รัฐวิสาหกิจบางแห่ง เช่น ยกเลิกอำนาจผูกขาดของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยและเปิดให้มีธนาคารอิสลามรายใหม่ๆ เข้ามาให้บริการ เปิดโอกาสให้มีผู้ประกอบการรถไฟขนส่งสินค้าวิ่งบนรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดโอกาสให้มีผู้ประกอบการเดินรถขนส่งมวลชนมากขึ้น ตลอดจนเร่งประมูลคลื่นความถี่ 4G และออกใบอนุญาตโรงรับจำนำเป็นการทั่วไป

เรื่องที่ห้า รัฐบาลต้องหยุดรัฐวิสาหกิจไม่ให้มีอำนาจกำกับดูแลคู่แข่งที่เป็นผู้ประกอบการเอกชน นอกจากรัฐบาลจะต้องส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมแล้ว รัฐบาลยังจำเป็นต้องสร้างระบบการกำกับดูแลให้เป็นธรรมและเข้มแข็งด้วย โดยจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ที่ผ่านมาประเทศไทยได้สร้างหน่วยงานกำกับดูแลอิสระไว้แล้วสำหรับหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการเงิน ประกันภัย พลังงาน หรือโทรคมนาคม แต่ยังขาดหน่วยงานกำกับดูแลอีกหลายธุรกิจ โดยเฉพาะการขนส่งและการจัดการน้ำ

นอกจากจะต้องลดข้อได้เปรียบของรัฐวิสาหกิจแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดข้อเสียเปรียบในการแข่งขันของรัฐวิสาหกิจด้วย ผมคิดว่ามีอย่างน้อยสามเรื่องสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไข เพื่อไม่ให้รัฐวิสาหกิจต้องวิ่งแข่งแบบแบกกระสอบทราย

เรื่องแรก จะต้องแยกบัญชีของรัฐวิสาหกิจให้ชัดเจนระหว่างกิจกรรมที่ทำเพื่อเป็นสวัสดิการสังคม หรือเพื่อช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย กับกิจกรรมที่เป็นธุรกิจหารายได้ของรัฐวิสาหกิจ หลายครั้งรัฐวิสาหกิจถูกรัฐบาล สั่งให้สนองนโยบายพิเศษ ซึ่งบางครั้งเกินไปจากพันธกิจหลัก หรือเป็นการดำเนินงานที่หลีกเลี่ยงผลขาดทุนไม่ได้ และจำเป็นต้องได้รับการชดเชยจากรัฐบาลอย่างเหมาะสม แม้ว่าที่ผ่านมากระทรวงการคลังจะได้นำหลักการการจัดทำบัญชีบริการสาธารณะ มาใช้กับรัฐวิสาหกิจหลายปีแล้ว แต่ในทางปฏิบัติยังมีปัญหาอยู่มาก ทั้งเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องของการบันทึกบัญชี และการตั้งงบประมาณชดเชยรัฐวิสาหกิจในแต่ละปี ยิ่งทิ้งผ่านไปนานวัน รัฐบาลใหม่ก็ไม่ต้องการรับภาระชดเชยผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลเก่า ปล่อยทิ้งให้เป็นภาระทางการเงินสะสมและปัญหาการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจอยู่หลายปี

เรื่องที่สอง ควรทบทวนแก้ไข พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาวะการแข่งขันที่รัฐวิสาหกิจต้องเผชิญ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจและกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการจ้างพนักงานมัดมือมัดเท้ารัฐวิสาหกิจอยู่หลายเรื่อง ทำให้รัฐวิสาหกิจไม่สามารถแข่งขันได้อย่างทันกาล ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งรัฐวิสาหกิจบางแห่งอาจต้องปิดกิจการเพราะแข่งขันไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อพนักงานของรัฐวิสาหกิจเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรื่องที่สาม ควรทบทวนความจำเป็นของการคงสถานะรัฐวิสาหกิจบางแห่งว่าควรเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากรัฐวิสาหกิจเหล่านี้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และการคงสถานะให้เป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป อาจทำให้รัฐวิสาหกิจเหล่านี้ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมกับคู่แข่งเอกชน เพราะติดกฎเกณฑ์ กติกา และการแทรกแซงทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา ถ้ารัฐบาลยอมเปลี่ยนสถานะจากเจ้าของและผู้ประกอบการรัฐวิสาหกิจเหล่านี้มาเป็นเพียงผู้ลงทุนหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลและราคาหุ้น ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเพื่อให้พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ และเปิดโอกาสให้มืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจจะเกิดผลดีกว่า ต่อทั้งตัวรัฐวิสาหกิจ พนักงาน ผู้บริโภค และประชาชนผู้เสียภาษีในระยะยาว

ถ้าเรายอมรับความจริงว่ารัฐวิสาหกิจทุกแห่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันได้ และการแข่งขันเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องช่วยกันสร้างสภาวะการแข่งขันที่เท่าเทียมกันระหว่างรัฐวิสาหกิจกับผู้ประกอบการเอกชนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เลิกนอนตีพุงสร้างเกราะกำบังแล้วฝันว่าเงินจะไหลมาเทมาแบบลมๆ แล้งๆ กันเถอะครับ