ปาร์ตี้คิวอี!
ปาร์ตี้วงหนึ่งเพิ่งจะจบไป เหล้าพั้นช์ภายในงานยังไม่หมดดี ไม่ทันไรปาร์ตี้วงใหม่ก็เริ่มขึ้น พร้อมกับเหล้าพั้นช์
ที่ขนกันมาอีกเพียบ และยังมีท่าทีว่าจะมีปาร์ตี้ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกหลายวง ดูแล้วอนาคตโลกการเงินคงเมามายกันอย่างเต็มที่..
ปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพิ่งประกาศยุติการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ (คิวอี) ที่ทำมายาวนานร่วม 6 ปี อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และโลกการเงินรวมกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 112 ล้านล้านบาท สูงกว่า “จีดีพี” หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทยกว่า 10 เท่า
หลังเฟดประกาศยุติมาตรการ “คิวอี” ได้ไม่กี่วัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ก็สร้างความประหลาดใจให้กับโลกการเงินด้วยการประกาศใช้มาตรการในลักษณะเดียวกัน โดยการอัดฉีดเงินเข้าระบบเพิ่มอีกราว 20 ล้านล้านเยน หรือราว 7.26 แสนล้านดอลลาร์ จากเดิมที่อัดฉีดเงินเข้ามากว่า 60-70 ล้านล้านเยน ทำให้ตลาดเงิน ตลาดหุ้น ทั่วโลกพุ่งทะยานขานรับข่าวนี้กันถ้วนหน้า
อีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ถัดมา ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ก็เอาบ้าง แม้รอบนี้จะยังไม่มีมาตรการใดๆ เพิ่มเติม แต่ได้ส่งสัญญาณอย่าง “แข็งกร้าว” พร้อมที่จะดำเนินมาตรการใหม่ๆ เพิ่ม หากพบสัญญาณว่าเงินเฟ้อจะอยู่ระดับต่ำไปอีกนาน
เล่ามาแบบนี้คงพอเห็นภาพกันบ้างแล้วว่า อนาคตโลกการเงินจะเป็นอย่างไร เพราะไม่ว่าจะเป็น “บีโอเจ” ประกาศมาตรการ หรือ “อีซีบี” ประกาศว่าจะใช้มาตรการเพิ่มเติม ทำเอาตลาดเงิน ตลาดหุ้น ทั่วโลกปรับขึ้นยกใหญ่ โดยไม่สนใจว่าพื้นฐานหุ้นเหล่านั้นเป็นอย่างไร
ตอนนี้เริ่มมีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนออกมาแสดงความเห็นว่า นอกจาก “บีโอเจ” และ “อีซีบี” ที่ผ่อนคลาย หรือเตรียมผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมแล้ว ยังมีธนาคารกลางประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจอีกหลายแห่ง ที่ “ส่อ” ว่า จะดำเนินนโยบายในทำนองเดียวกันนี้บ้าง เพื่อ “รักษาค่าเงิน” ของตัวเองให้ “แข่งขัน” ได้บนเวทีการค้าโลก จนนำไปสู่สงครามค่าเงินในรอบใหม่
ประเด็นที่น่าติดตามจากนี้ คือ หลังสิ้นคำประกาศของทั้ง “บีโอเจ” และ “อีซีบี” ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะ “ดอลลาร์” เทียบกับ “เยน” ที่แข็งค่าแล้วราวๆ 15% หลังบีโอเจประกาศอัดฉีดเงิน คำถาม คือ สหรัฐฯ จะทนกับการแข็งค่าของค่าเงิน “ดอลลาร์” ได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มจะฟื้นตัว
เมื่อไม่นานมานี้ สหรัฐฯ ประกาศตัวเลข “ดุลการค้า” เดือนก.ย. ปรากฏว่าออกมา “ขาดดุล” ราว 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นการขาดดุลสูงสุดในรอบ 4 เดือน ผลจากการส่งออกที่หดตัว 1.5% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
ตัวเลขดุลการค้านี้อาจยังไม่บอกอะไรมาก เพราะเป็นเพียงเดือนแรกที่กลับมาย่ำแย่ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ทยอยฟื้นตัว แต่ที่น่าสนใจ คือ ตัวเลขของเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นเดือนที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นชัดเจน จะออกมาเป็นอย่างไร จะเป็นตัวฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐหรือไม่ แล้วถ้าเศรษฐกิจของสหรัฐได้รับผลกระทบจาก ดอลลาร์ ที่แข็งค่าขึ้นจริง สหรัฐจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร
ปาร์ตี้วงเดิมที่เลิกราไปแล้ว มีโอกาสกลับมาตั้งวงใหม่หรือไม่ เรื่องนี้สมควรยิ่งกับการติดตาม!