'แบงก์ชาติ' กับตำแหน่งกองหลัง

'แบงก์ชาติ' กับตำแหน่งกองหลัง

ในวันพรุ่งนี้ (17 ก.ย.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะมีการประชุมร่วมกัน โดยการประชุมครั้งนี้

นับเป็นครั้งที่ 6 ในรอบปี เพื่อพิจารณาถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย

จากการสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ หลายคนยังมองไปทางเดียวกันว่า กนง. น่าจะ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% เช่นเดิม

สาเหตุที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติได้ส่งสัญญาณความถี่สูงออกมาเป็นระยะว่า อัตรา ดอกเบี้ยนโยบาย ในปัจจุบัน ยังเป็นระดับที่ ผ่อนคลายเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าการฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาจะต่ำกว่าที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้บ้างก็ตาม

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้จะค่อนไปในทาง จำกัดแต่แนวโน้มระยะต่อไปถือว่ามีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ได้แถลงนโยบายเศรษฐกิจต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทำให้ภาพเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้ามีความชัดเจนขึ้น ดังนั้นความจำเป็นที่ กนง. จะ ลดดอกเบี้ยเพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจจึงน้อยลงตามไปด้วย

นอกจากนี้ถ้าได้ฟัง ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุลพูดในเวที ไทยแลนด์โฟกัสช่วงปลายเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ยิ่งชัดเจนว่า หมดเวลาแล้ว สำหรับ ดอกเบี้ยขาลง

ดร.ประสาร เปรียบเทียบการทำงานของ แบงก์ชาติกับการเล่น ฟุตบอลว่า ถึงเวลาแล้วที่แบงก์ชาติจะกลับมาเล่นในตำแหน่งเดิม คือ กองหลังโดยทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ และปล่อยให้ นโยบายการคลังรับบทบาท กองหน้าทำหน้าที่กระตุ้นเศรษฐกิจแทน

ในฐานะกองหลังชัดเจนว่า เราสามารถเห็นสนามแข่งทั้งสนามได้ และสามารถเลือกเส้นทางที่จะสนับสนุน ป้องกันทีมของตัวเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้รัฐบาลกลับมาอยู่ในสถานะที่เป็นผู้กำหนดเกมการเล่น เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนให้ไปถึงเป้าหมายสร้างศักยภาพการเติบโตให้ประเทศได้สำเร็จ

ข้อความจาก ดร.ประสารที่ส่งออกมา ชัดยิ่งกว่าชัดว่า ความจำเป็นที่จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงไปมากกว่านี้คงไม่มีแล้ว ..คำถามที่สำคัญจากนี้จึงอยู่ที่ เมื่อไหร่ถือเป็นเวลาอันเหมาะสมในการปรับ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

จริงอยู่แม้ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยมากกว่านี้ยังไม่มี แต่การจะปรับ ขึ้นดอกเบี้ย ณ เวลาเช่นนี้ ก็ต้องระมัดระวังเช่นกัน ..เพราะอย่าลืมว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา ถูกขับเคลื่อนด้วย หนี้ทำให้เวลานี้ หนี้ภาคเอกชนโป่งพองอย่างมาก

ตรงนี้จึงเป็น หน้าที่หลักของ กองหลังอย่างแบงก์ชาติ ซึ่งต้องคอยเฝ้าระวัง คอยบาลานซ์สมดุลเศรษฐกิจของประเทศ รักษาเสถียรภาพทั้งด้านเศรษฐกิจและการเงิน

แม้ที่ผ่านมา แบงก์ชาติจะทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี จนได้รับคำชมจากต่างประเทศ แต่ความท้าทายในอนาคตยังมีอยู่อีกมาก โดยเฉพาะในยามนี้ที่ การดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ทั่วโลก กำลังแตกออกเป็น 2 ฟากฝั่งอย่างชัดเจน เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศจึงเป็นเรื่องสำคัญ

แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าการทำหน้าที่ กองหลังของแบงก์ชาติ คือ การเล่นอย่างเป็น ทีมเวิร์กเพราะแม้เราจะมีกองหลังที่เก่ง แต่หากไม่สามารถเล่นเข้าขากับกองหน้าได้ ก็คงไม่ทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น ..เวลานี้ทุกคนจึงตั้งความหวังเอาไว้ว่า กองหน้าชุดใหม่ที่ลงสนามมา จะเล่นเข้าขาอย่างดีกับกองหลังอย่างแบงก์ชาติ และทำให้ ทีมที่ชื่อว่า ประเทศไทยแข็งแกร่งขึ้นซะที!