Sport or showcase

Sport or showcase

มหกรรมฟุตบอลโลกในช่วงเดือนนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่หลายคนเฝ้ารอมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

และเป็นที่น่าพอใจสำหรับทุกท่านเพราะคราวนี้ผมคิดว่าเป็นฟุตบอลโลกที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจมาก เพราะเราเห็นการทำประตูเกิดขึ้นมากมายรวมถึงทีมต่างๆ ที่งัดฟอร์มกันออกมาประเภทที่หักปากกาเซียน

เมื่อเอ่ยถึงฟุตบอลโลกในครั้งนี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญสิ่งหนึ่ง คือ การที่สมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ FIFA ยอมที่จะนำเอาเทคโนโลยีและมาตรการใหม่ๆ หลายอย่างมาใช้ในการแข่งขัน ซึ่งปกติแล้วถ้าท่านติดตามข่าวสารก็จะพอทราบดีว่าองค์กรอย่าง FIFA เป็นองค์กรที่จะว่าไปก็ไม่ได้เปิดรับแนวคิดใหม่ๆ มากนัก แต่ในครั้งนี้เราได้เห็นตัวอย่างเช่นการนำ goal-line technology ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงมาช่วยกรรมการตัดสินใจว่าลูกบอลได้ผ่านเส้นประตูเข้าไปแล้วหรือไม่ ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีมานานมากแล้ว และนำไปใช้ในลีกการแข่งขันบางรายการแล้ว แต่ด้วยความที่ FIFA เป็นองค์กรที่ค่อนข้างยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ จึงยังไม่เคยมีการนำมาใช้จนกระทั่งฟุตบอลโลกในครั้งนี้เป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ ในปีนี้ เรายังได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของศักยภาพและวิธีการเล่นของทีมต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมาก ทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่าการยึดวิธีการเล่นแบบเดิมๆ ของอดีตแชมป์โลกอย่างสเปนไม่ได้รับประกันความสำเร็จได้เสมอไป ผมเชื่อว่าด้วยเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ที่บรรดาผู้จัดการทีมหรือผู้ฝึกสอนใช้ในการวิเคราะห์ ทักษะ ความฟิตของนักเตะ แบบแผนการเล่นและแทคติกต่างๆ รวมถึงตัวเลขสถิติที่ตอนนี้สามารถเก็บได้แทบทุกอย่างจากแต่ละเกมการแข่งขัน ได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์อย่างมืออาชีพเพื่อที่จะวางแผนผู้เล่นและการเล่นในแบบที่ละเอียดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

"ฟุตบอล" เป็นกีฬาที่เข้าถึงคนได้ทุกชนชั้นในโลก และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล จึงเป็นไปได้ว่า FIFA อาจจะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่าลืมนะครับว่า ปัจจุบัน วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและความซับซ้อนทางสังคมได้เปลี่ยนให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์โลกที่อ้างอิงการใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่น่าจะช่วยให้ทั้งฟุตบอลที่นับได้ว่าเป็นกีฬาแบบค่อนข้าง primitive และ FIFA เข้าใกล้ผู้บริโภคในโลกปัจจุบันได้ง่ายขึ้นก็คือการทำให้เขาเหล่านั้นเห็นว่าฟุตบอลก็เป็นกีฬาที่น้อมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกัน ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะทำให้ฟุตบอลเป็นกีฬาที่วิวัฒนาการตัวเองให้เป็นที่นิยมของชาวโลกได้ต่อไปเรื่อยๆ

ในขณะเดียวกัน ปีนี้เรายังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายๆ อย่างในกีฬาอีกประเภท นั่นก็คือ "การแข่งรถสูตร 1"

ถ้าท่านผู้อ่านที่ติดตามการแข่งขันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาก็จะพอทราบว่าทีม Red Bull Racing ที่มี Sebastien Vettel แชมป์โลก 4 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 2010 เป็นทีมที่ dominate การแข่งขันมาโดยตลอดจนกระทั่งเริ่มมีเสียงจากแฟนๆ ว่าการแข่งขันรถสูตร 1 กลายเป็นเหมือน showcase ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์มากกว่า และทุกสนามการแข่งขันก็ดูเหมือนจะเป็นการนำเอารถมาวิ่งโชว์ให้คนดูมากกว่าการแข่งขันกีฬาเพราะแทบจะหาความตื่นเต้นจากการแซงหรือการใช้ความสามารถในการขับไม่ได้เลย

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การแข่งรถสูตร 1 กำลังสูญเสียกลุ่มแฟนหลักของตนเองที่คุ้นเคยกับการแซง การเบียด และความกล้าบ้าบิ่นของนักขับที่ใช้ความสามารถและหัวใจในการตัดสินใจ ซึ่งกำลังถูกแทนที่ด้วยการปฏิบัติตามการคำนวณของนักวิเคราะห์และการประมวลผลของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกยัดเข้าไปในรถ

ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันทางเทคโนโลยีของแต่ละทีมส่งผลให้ตัวตนของนักขับไม่ได้สำคัญโดดเด่นไปกว่าหัวหน้าทีมวิศวกรออกแบบเครื่องและระบบ aerodynamic ของทีม หรือ tactician ที่ทำหน้าที่วางแผนการใช้ประเภทของยาง ปริมาณน้ำมันที่ใช้ จำนวนรอบที่วิ่งก่อนที่จะเข้า pit stop

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือการแข่งขันรถสูตร 1 ไม่สามารถดึงดูดความสนใจของบรรดาเด็กรุ่นใหม่ๆ ด้วยเหตุผลดังกล่าว สถานะของนักขับที่เป็น “พระเอก” ถูกแทนที่ด้วยทีมและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหลักการที่ผิดเพี้ยนไปจาก spirit ของการแข่งขันกีฬา และเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าทำให้เราไม่สามารถเชื่อมโยงการเชียร์กีฬาได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในปีหน้า ทางผู้จัดการแข่งขันรถสูตร 1 ยังมีความคิดที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับการแข่งขันในรูปแบบที่เน้นการ “โชว์” มากขึ้น เช่น การทดลองให้แต่ละทีมเสริมแผ่นรองใต้ท้องเครื่องด้วยโลหะเพื่อหวังให้เกิดประกายไฟเวลาใต้ท้องรถกระแทกกับผิวถนน ยิ่งดูไปก็ยิ่งเหมือนว่าการแข่งรถสูตร 1 กำลังถูกออกแบบให้กลายเป็นเหมือนละครสัตว์หรือโชว์ที่ต้องการความตื่นเต้นในรูปแบบที่จัดเตรียมไว้แล้วสำเร็จรูป มากกว่าความตื่นเต้นที่ได้จากการขับเคี่ยวและแข่งขันของผู้เล่นอย่างจริงจัง สวนทางกับความต้องการของผู้บริโภคโดยสิ้นเชิง

ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่ายอดผู้ติดตามจะลดลงหรือไม่ครับ