เปลี่ยนมาขี่จักรยาน มีแต่เรื่องดีกับดี !

เปลี่ยนมาขี่จักรยาน มีแต่เรื่องดีกับดี !

ทุกๆ วันที่ผมใช้เวลาอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ ผมเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และผมคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าส่งเสริม

สนับสนุน เพื่อให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้มากขึ้น นอกจากนี้พฤติกรรมดังกล่าวยังเป็นหัวข้อของการสนทนาที่แต่ละคนนำประสบการณ์ในหลายๆ สถานที่และเวลามาแบ่งปันกัน สร้างความรู้สึกร่วมกันและสังคมกลุ่มย่อยๆ ขึ้นมาและได้รับความสนใจ การเปลี่ยนแปลงที่ผมกำลังพูดถึงก็คือพาหนะสองล้อที่เราคุ้นชินกันตั้งแต่เด็กๆ อย่างจักรยานที่มีการปรากฏตัวบนท้องถนนมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ผมเชื่อครับว่าน้อยคนนัก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่เกิดในยุค baby boomer หรือ Generation X จะไม่เคยสนุกกับการขี่จักรยานสมัยยังเป็นเด็ก ย้อนกลับไปในยุคสมัยที่เครื่องเล่นและของเล่นต่างๆ ยังเป็นการอาศัยจินตนาการของแต่ละคนช่วยให้บรรดารถหรือตุ๊กตาตุ๊กตุ่นของเล่นมีชีวิตและใส่บทบาทให้กับของเหล่านั้น โลกทัศน์ของเด็กยุคก่อนไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางสารนิเทศ หรือ internet ที่ช่วยย่อโลกให้เข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเช่นทุกวันนี้ จักรยาน จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้เราขยายพื้นที่ในการเรียนรู้และใช้ชีวิตในวัยเด็กได้อย่างดี จักรยาน เป็นพาหนะที่ช่วยให้เราเข้าถึงตรอกซอกซอยที่เรายังไม่เคยไปและช่วยให้เราสนุกกับการค้นหาสิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กับเพื่อนๆ

มองไปรอบๆ ตัวเราทุกวันนี้ น่าเสียดายที่เราไม่ค่อยได้เห็นภาพดังกล่าว จะด้วยภาระทางด้านการเรียนที่ต้องมีการแข่งขัน เวลาของเด็กถูกใช้ไปกับการกวดวิชาเพิ่มเติม หรือความคับคั่งของท้องถนนที่มีแต่อันตราย ทำให้ผู้ปกครองไม่ค่อยสนับสนุนให้บุตรหลานขี่จักรยาน หรือจะด้วยของเล่น เกมส์ และแก็ดเจตต่างๆ ที่กลายเป็นของเล่นชิ้นโปรดสำหรับเด็กในทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้จักรยานกลายเป็นของที่ไกลตัวสำหรับเด็กบางคน จักรยาน กลายเป็นของที่เด็กๆ ไม่ได้วิ่งเข้าหาเป็นอย่างแรกเมื่อกลับจากโรงเรียนไปเสียแล้ว

ในทางกลับกัน เราเริ่มเห็น baby boomer และ Generation X ไปจนถึง Y หันมาให้ความสนใจกับของเล่นในวัยเด็กชิ้นนี้กันมากขึ้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ จักรยาน กลายเป็นสิ่งที่หลายๆ คนที่เกิดในยุคดังกล่าวหันกลับไปมองหาและใช้เวลากับกิจกรรมการขี่จักรยานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขี่เล่นสบายๆ กับเพื่อนๆ ไปยังสถานที่ต่างๆ หรือขี่ในลักษณะเป็นการออกกำลังอย่างจริงจัง หรือ เราเริ่มเห็นคนขี่จักรยานในตอนเช้าไปทำงานกันมากขึ้นด้วย ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ดี แม้จะยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่เกิด

ผมมีความคิดส่วนตัวที่มองว่าปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนเริ่มหันมามองจักรยานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้นก็คือ ภาพลักษณ์ ของกิจกรรมที่เกี่ยวกับจักรยานที่เราเห็นกันมากขึ้นทุกวันที่เป็นการผสมผสานที่ค่อนข้างลงตัวระหว่างความรู้สึกและจิตสำนึกหลายๆ ด้านของคน และเป็นกิจกรรมและการแสดงออกอย่างหนึ่งที่สะท้อนมุมมองของแต่ละคนในแต่ละด้านได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นตัวของตัวเอง ความสัมพันธ์ในหมู่คนที่คิดคล้ายๆ กัน การมีวินัย การแข่งขันกับตัวเองและคนอื่นทั้งในแบบจริงจังและเอาสนุกเข้าไว้ก่อน ความรู้สึกดีที่ได้ช่วยรับผิดชอบกับประเด็นปัญหาสังคมสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งประเด็นของแฟชั่น ฯลฯ ซึ่งแต่ละประเด็นมีน้ำหนักแตกต่างกันออกไปในเหตุผลของแต่ละคนที่ขี่จักรยาน

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผม ก็คือ ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่พริบตา barrier อย่างเช่นเรื่องของเวลา (ที่บางคนยอมหาเวลาขี่ตอนกลางคืนหรือช่วงสุดสัปดาห์) หรือ ความสะดวก (ที่จอด ที่อาบน้ำตามสำนักงานต่างๆ) และ ความปลอดภัย (ที่ท้องถนนในกรุงเทพฯ ยังไม่เอื้อต่อการขี่สักเท่าไหร่) ไม่ใช่เรื่องที่จะบั่นทอนความพยายามในการหยิบจักรยานออกมาปั่นของคนเหล่านี้

ลองเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตหรือวิถีสังคมในหลายๆ เรื่องที่เคยผ่านตาเราสิครับ แล้วลองดูว่าทำไมหลายๆ เรื่องถึงไม่สามารถ "จุดติด" ได้เหมือนเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลิกบุหรี่ การไม่ดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ การเคารพกฎจราจร การให้เกียรติสุภาพสตรี การเสียสละให้กับคนอื่น การไม่ทุจริต ฯลฯ ท่านผู้อ่านลองตั้งคำถามกับตัวเองดู แล้วลองหาส่วนผสมของเหตุผลต่างๆ ที่ท่านคิดว่าเหมาะสมกับตัวท่านเองเพื่อที่จะล้มล้างข้ออ้าง ข้อแก้ตัวต่างๆ ที่เคยเป็น barrier สำคัญในการก้าวข้ามพฤติกรรมเหล่านั้นแล้วลองทำดู

แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมมีข้อแนะนำง่ายๆ ในการเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เริ่ม ท่านอาจจะลองหยิบจักรยานคันที่เคยโปรดมาปัดฝุ่นแล้วหาเหตุผลร้อยแปดมาชักชวนตัวเองให้ใช้เวลาบนหลังอานจักรยานบ้าง

อย่างน้อย ก็เป็นการเริ่มต้นใช้เวลาค้นหาข้ออ้างที่จะทำสิ่งสร้างสรรค์บางอย่างที่ไม่เลวนะครับ