ธุรกิจเครือข่าย : "ทัศนคติ"...สำคัญที่สุด

ธุรกิจเครือข่าย : "ทัศนคติ"...สำคัญที่สุด

ในหนังสือที่ผมแต่งไว้ที่มีชื่อว่า “30 วัน รวยด้วย...รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” มีอยู่บทหนึ่งที่อาจจะเหมาะกับคุณผู้อ่านที่ทำธุรกิจเครือข่าย

โดยมีชื่อเรื่องว่า “ธุรกิจเครือข่าย : ทัศนคติ...สำคัญที่สุด”

ธุรกิจเครือข่าย เป็นธุรกิจที่สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้จริง และที่สำคัญก็คือ ธุรกิจยังก่อให้เกิด “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” ในระยะยาวได้อีกด้วย ดังเราจะเห็นได้จากธุรกิจเครือข่ายทั้งของไทยและของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น แอมเวย์ กิฟฟารีน มิสทีน เอวอน นูสกิน หรือ ทัปเปอร์แวร์ เป็นต้น บางธุรกิจที่ผมได้เอ่ยชื่อมาแล้ว ยังสามารถสร้างเครือข่ายที่ใหญ่โตมโหฬาร และทำให้ผู้คนประสบความสำเร็จมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน เรามาดูกันหน่อยว่า ทำไม? ธุรกิจเครือข่ายจึงสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้าร่วมเครือข่ายได้เป็นจำนวนมาก โดยมีเหตุผลดังนี้ครับ

๐ เงินลงทุนเริ่มต้น...ต่ำมาก

การเริ่มต้นของผู้คนที่อยากเข้ามาในธุรกิจนี้ก็เพียงเสียค่าสมาชิกหลักร้อยบาทเท่านั้น จากนั้นก็นำสินค้าไปขาย หากขายได้...ก็ค่อยไปซื้อจากบริษัทที่เป็นเจ้าของเครือข่าย เพื่อนำมาส่งมอบและเก็บเงินจากลูกค้าอีกทอดหนึ่ง จึงนับได้ว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำมาก...และยังใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำมากอีกด้วย

๐ เวลาทำงาน...มีความยืดหยุ่นสูงมาก

ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่สมาชิกหรือผู้เข้าร่วมเครือข่ายสามารถกำหนดเวลาเองได้เกือบทั้งหมด เป้าหมายอยู่ที่การทำยอดขายของตนเองและของดาวน์ไลน์หรือบรรดาผู้คนที่สมัครเข้ามาอยู่ในสังกัดเครือข่ายของตนเท่านั้น

๐ “รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน” เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก

ธุรกิจนี้โดยส่วนใหญ่มักจะวาดฝันให้กับผู้ที่เข้ามาสมัครร่วมกับธุรกิจนี้ว่า ในอนาคตพวกเขาแทบจะไม่ต้องทำงาน ก็จะมีเงินมีทองไหลเข้ามาเอง เพราะว่าบรรดาดาวน์ไลน์หรือลูกข่ายจะขายสินค้าต่างๆ และก็จะทำให้เกิดค่าคอมมิชชั่นหรืออินเซ็นทีฟเข้ามาในบัญชีของพวกเขาทุกเดือนโดยอัตโนมัติ ซึ่งในความคิดของผมคิดว่า มันถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เพราะ ถ้าไม่สามารถรักษาลูกข่ายของตนให้ขายสินค้าของเครือข่ายไว้ได้ ผลตอบแทนต่างๆ ที่คาดว่าจะได้ ก็อาจจะกลายเป็นความฝัน...มากกว่าความจริง

สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของ..ธุรกิจเครือข่ายนี้ก็คือ มันได้ก่อให้เกิดกระบวนการที่ดีอยู่ด้วยกัน 2 กระบวนการ ดังนี้คือ

๐ กระบวนการทำซ้ำ (Duplication Process)

คุณเริ่มต้นเพียงแต่การเข้าใจสินค้า เทคนิคการขาย เทคนิคการจูงใจคนให้เข้าร่วมเครือข่าย และอีกมากมาย แต่หลังจากที่คุณมีความเชี่ยวชาญแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง..ก็แทบจะเหมือนเดิม เกิดกระบวนการทำซ้ำแล้ว...ทำซ้ำอีก ทำให้ไม่ต้องไปเสียเวลาแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

๐ กระบวนการ “คานทดแรง” (Leverage Process)

คุณผู้อ่านคงคุ้นเคยกับการใช้ชะแลง เวลาเราจะใช้ชะแลงงัดตะปู เราก็จะจับที่ปลายชะแลงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งยิ่งจับที่ปลายอีกด้านมากเท่าไร ก็จะทำให้การงัดตะปูใช้แรงยิ่งน้อยลงเท่านั้น ผมเรียกกระบวนการนี้ว่า กระบวนการ “คานทดแรง”

เช่นเดียวกัน ในธุรกิจเครือข่าย ยิ่งเราสามารถชักชวนผู้คนให้เข้ามาเป็นดาวน์ไลน์หรือลูกข่ายของเราได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีพลังในการหารายได้มากขึ้นเท่านั้น เช่น ทำเต็มที่อยู่คนเดียวได้วันละ 8 ชั่วโมง สัปดาห์หนึ่งทำ 6 วัน มีเวลาทำงานทั้งหมด 48 ชั่วโมง แต่ถ้าเครือข่ายมีคน 60 คน สัปดาห์หนึ่งทำเพียงวันเดียวได้ 8 ชั่วโมง ก็จะทำให้มีเวลาทำงานทั้งหมด 480 ชั่วโมง คิดเป็นสูงถึง...สิบเท่าตัว ทั้งๆ ที่ทำงานเพียงแค่วันเดียวต่อสัปดาห์เท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว.. คุณผู้อ่านหลายท่านอาจเริ่มมีความคิดที่ดีต่อธุรกิจเครือข่ายขึ้นมาบ้างแล้ว และหลายท่านอาจเริ่มคิดที่อยากจะทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ผมก็มีข้อสังเกตบางประการที่ผมคิดว่า มีความสำคัญเพื่อให้คุณผู้อ่านที่สนใจธุรกิจประเภทนี้ ได้ตระหนักถึงก่อนที่คุณจะเริ่มลงมือทำธุรกิจนี้ ดังนี้ครับ

๐ เป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง

เนื่องจากนโยบายของบริษัทเจ้าของเครือข่ายที่ต้องการให้สินค้าขายได้มากที่สุด ดังนั้น จึงนำไปสู่การรับสมาชิกเข้าร่วมเครือข่ายอย่างไม่จำกัดจำนวน นั่นหมายถึง หากเราทำธุรกิจประเภทนี้ เราก็จะต้องประสบพบกับการแข่งขันจากสมาชิกที่ขายสินค้าเดียวกัน..จากเครือข่ายอื่น และจำนวนสมาชิกดังกล่าว..ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน

๐ อาจเป็นธุรกิจที่อาจทำให้คนรู้จัก...ห่างเหิน

ธุรกิจเครือข่ายนี้มักจะใช้การแนะนำให้คนรอบข้างใช้สินค้าของบริษัทเครือข่าย โดยเริ่มจากญาติมิตรที่สนิทสนมกันก่อน จากนั้นจึงพยายามขยายเครือข่ายไปยังคนที่รู้จักกันต่อๆ ไปเป็นลูกโซ่ ด้วยการขยายเครือข่ายดังกล่าว ก็จะทำให้บรรดาญาติมิตรหลายคนตีจากออกไป เพราะไม่อยากซื้อสินค้าดังกล่าว

๐ “ทัศนคติ” เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ธุรกิจเครือข่ายเป็นการขายสินค้าที่มีโอกาสที่จะถูกปฏิเสธได้ง่าย ดังนั้น คนที่จะทำธุรกิจเครือข่ายจำเป็นที่จะต้องศึกษาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจนั้นๆ เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังต้องเป็นคนที่ชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต มองโลกในแง่ดี และมุ่งมั่นทำทุกสิ่งเพื่อให้ความฝันที่หวังไว้ประสบความสำเร็จ

ดังนั้น “ทัศนคติ” ของผู้ที่ทำธุรกิจนี้จะต้องอยู่ในระดับที่ดีมาก และจะต้องรักษาการมีทัศนคติที่ดีนี้ไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม