การตลาดและปรากฏการณ์ "ชัชชาติฟีเวอร์"

การตลาดและปรากฏการณ์ "ชัชชาติฟีเวอร์"

ปรากฏการณ์ชัชชาติฟีเวอร์ในเชิงการตลาด มาจากการสร้างแบรนด์บุคคลที่แข็งแกร่งอาศัยกลยุทธ์คอนเทนท์ที่เหมาะสม

ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ร้อนระอุ กระแสการเมืองที่เชี่ยวกรากจนไม่รู้ว่าจะนำพาเราไปอยู่จุดไหน กลับมาปรากฏการณ์ไวรัลทางอินเทอร์เน็ตที่สร้างรอยยิ้มและทำให้ชาวเน็ตในบ้านเราผ่อนคลายจากความตึงเครียดได้บ้าง

"ชัชชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่แกร่งสุดในปฐพี" เป็นกระแสที่แรงสุดๆ ในโลกอินเทอร์เน็ต และสามารถสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจได้ในหลายแง่มุม

ถ้ามองในมุมการตลาด รมต.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นเปรียบเสมือนแบรนด์สินค้า เพียงแต่ไม่ใช่สินค้า แต่เป็นแบรนด์บุคคล "แบรนด์ชัชชาติ" สามารถอธิบายด้วยหลักการตลาดง่ายๆ 3 ข้อ คือ

1. คุณลักษณะ (Character) ช่วยสร้างชื่อเสียง (Building Reputation) นักการเมืองเป็นอาชีพที่ภาพลักษณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก คงไม่ต้องบรรยายนะครับว่านักการเมืองมีภาพลักษณ์ในสายตาคนทั่วไปอย่างไร แต่รมต.ชัชชาติ เป็นนักวิชาการ มีความรู้ ความสามารถ เป็นคนทำงาน เข้ามารับตำแหน่งในฝ่ายบริหารของรัฐบาลเป็นครั้งแรก แม้จะเคยทำงานการเมืองมาบ้างแต่ก็เป็นคนทำงานเบื้องหลัง จึงไม่มีภาพลักษณ์ของนักการเมืองติดตัว

ด้วยตัวตนที่จริงเอาจังกับการทำงาน มีความตั้งใจทำงาน ลงไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทำงานระดับล่างโดยตรง แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดจึงช่วยส่งเสริมชื่อเสียง ภาพลักษณ์ให้ดูเด่นและแตกต่างจากรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่มีภาพของนักการเมืองติดตัว ภาพของคนทำงาน ย่อมได้เปรียบภาพของนักการเมืองเป็นไหนๆ และด้วยลักษณะภายนอกก็เป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความอารมณ์ดี หุ่นล่ำๆ ที่มาจากการวิ่งมาราธอนและการขี่จักรยาน กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ดูง่ายในการจดจำ สามารถสร้าง character ได้ง่าย เมื่อมีการทำภาพล้อเลียน ก็จะดูขำ ดูไม่จริงจัง เหมือนนักวิชาการ หรือนักการเมืองทั่วไป

2. การสร้างความสัมพันธ์ (Building relationships) นักการเมืองในสายตาคนทั่วไป ดูเข้าถึงยาก ยิ่งเป็นระดับรัฐมนตรีด้วยแล้ว คนทั่วไปแทบจะไม่มีโอกาสเข้าถึงเลยก็ว่าได้ แต่ด้วยคุณลักษณะข้อแรก ความรู้สึกของคนทั่วไปจึงมองว่า รมต.ชัชชาติ เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้

เมื่อ รมต.ชัชชาติเปิดเฟซบุ๊คเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ผลงานและพูดคุย ยิ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น การใช้ภาษาพูดคุยที่เป็นกันเอง มีการตอบคอมเม้นท์ด้วยตัวเอง และนำความคิดเห็นของประชาชนที่เป็นประโยชน์มาใช้ ย่อมสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและประทับใจเพิ่มมากขึ้น

3. กลยุทธ์ในการสร้างคอนเทนท์ (Content Strategy) ที่เหมาะสมและส่งเสริมข้อ 1+2 คอนเทนต์ต่างๆ ในเพจของรมต.ชัชชาติ เป็นคอนเทนต์ที่แสดงให้เห็นถึงการลงพื้นที่ทำงาน มีการรายงานภารกิจประจำวัน (มีภาพนั่งรถเมล์ รอรถเมล์จริงๆ นั่งรถไฟไปต่างจังหวัดเพื่อศึกษาปัญหา) มีการแสดงออกถึงความเอาใจใส่ต่อปัญหาต่างๆ ของประชาชน และมีการนำเสนอทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ปัญหารถร่วมบริการสาย 8 ที่เรื้อรังมานาน ไม่มีใครที่จะคิดแก้ไขอย่างจริงจัง

นอกจากคอนเทนท์ที่เน้นในเรื่องของการทำงานแล้ว ยังไม่ค่อยมีการพูดถึงการเมืองหรือใช้เฟซบุ๊คในการโต้ตอบทางการเมือง ยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของคนทำงานจริงๆ ไม่ใช่นักการเมือง การโพสต์เรื่องส่วนตัว เช่น เกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำตอนสิ้นปี (ไม่ได้ไปเคาต์ดาวน์แต่ดูหนังอยู่กับลูก) แบ่งปันความรู้ แนะนำหนังสือ ยังมีส่วนช่วยสร้างความรู้สึกใกล้ชิดกับผู้ติดตามมากยิ่งขึ้น

ด้วยหลักการ 3 ข้อนี้ ช่วยให้ "แบรนด์ชัชชาติ" มีพัฒนาอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นแบรนด์ที่คนรัก มีการสร้างแฟนคลับ รูปล้อเลียนต่างๆมากมาย พัฒนาไปสู่การสร้างคอนเทนต์จากคนที่ชอบและชื่นชนในผลงานของรัฐมนตรีผู้นี้

กระแส "ชัชชาติฟีเวอร์" แบบไวรัลเริ่มต้นมาจากภาพที่ชาวสุรินทร์ถ่าย อ.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในชุดกีฬาสีดำตัวเก่งเดินเท้าเปล่าถือถุงอาหารเพื่อไปใส่บาตรพระที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556 และมีการโพสต์ลงเฟซบุ๊คเพจ "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ Fan Club" เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.มีแฟนเพจมาคอมเมนท์มากมาย หลายคนโพสต์รูปนี้ตัดต่อในเชิงล้อเลียนขบขัน (เช่น ใส่ดาบอัศวินเจไดให้กับท่านรัฐมนตรี หรือใส่ชุดซูเปอร์แมน แบทแมนให้ และอีกมากมาย)

เพจ “มิตรสหายท่านหนึ่ง” นำภาพดังกล่าวมาแชร์ พร้อมใส่คำบรรยายภาพว่า “มาดเหมือนจะเดินมากระทืบพระเลยคับ” ภาพดังกล่าวก็ยิ่งถูกแพร่กระจายออกไปมากขึ้นอีก มีการตั้งกระทู้พันทิปรวบรวมรูปภาพตัดต่อ รมต.ชัชชาติ ชาวเน็ตก็เข้าร่วมกระแสครั้งนี้โดยทำรูปล้อเลียนแบบต่างๆ พร้อมคำบรรยายภาพขำๆ จน รมต.ชัชชาติ ถูกยกให้เป็น“บุคคลที่ทรงพลังมากที่สุดในปฐพี”

ไม่ใช่แค่รูปตัดต่อล้อเลียนนะครับ กระแสนี้ลามไปถึงการแต่งตัวเลียนแบบชุดกีฬาแขนกุดสีดำ ถือถุงกับข้าว ในซีนที่แตกต่างกันไปของแต่ละคน กลายเป็นกระแสคอสเพลย์ที่ชาวเน็ตใส่เพื่อถ่ายรูปและแชร์ต่อๆ กันไปในเฟซบุ๊ค ไม่แพ้กระแสการแพลงกิ้ง การทำท่าน่ารักๆ อย่าง “Gwiyomi” การเต้นกังนัมหรือ Halem Shake เลยทีเดียว

กระแสดังกล่าวยังคงฮอตอย่างต่อเนื่อง มีการนำภาพ รมต.ชัชชาติมาทำเป็นสติ๊กเกอร์ในแอพแต่งภาพของคนไทยที่ชื่อ “MOLOME” มีการทำเกมชื่อว่า “ชัชชาติครัช” ที่นำภาพใบหน้าของท่านรัฐมนตรีใช้ในเกม ตามด้วยเกมล่าสุด แนวต่อสู่แอคชั่นที่กำลังจะเปิดตัวในชื่อว่า “วิ่งสู้ชัช”

มีมุขตลกมากมาย ที่เกี่ยวกับ รมต.ชัชชาติ เกิดขึ้นมาจากการสร้างสรรค์ของชาวเน็ต เช่น
…ปี 1912 ชัชชาติเคยว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจนเกิดอุบัติเหตุชนเรือลำหนึ่งจม เรือลำนั้นชื่อ “ไททานิค”...
…“ชัชชาติ” สามารถเดินทางข้ามเวลาได้ จน “เจมส์ คาเมรอน” เอาคาแรกเตอร์ และการย้อนเวลาของ "ชัชชาติ" มาทำหนังเรื่อง“คนเหล็ก 2029”…
คล้ายกับกระแสที่โด่งดังระดับโลกของดาราหนังแอคชั่นและนักแสดงศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวของฮอลลีวู้ด นาม “Chuck Norris” ที่มักจะได้รับบทบู๊ระห่ำ เก่งเวอร์ๆ ฆ่าตัวร้ายฝ่ายตรงข้ามนับสิบๆ โดยที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย

ชาวเน็ตพากันสร้างมุขตลกขำๆ ที่เกี่ยวกับ Chuck Norris (เรียกว่า “Chuck Norris facts”) เช่น
“Chuck Norris once got bit by a rattle snake........ After three days of pain and agony ..................the rattle snake died”
(ชัค นอร์ริส เคยถูกงูหางกระดิ่งกัด หลังจากสี่วันแห่งความเจ็บปวดทรมาน งูก็ตาย)
“Chuck Norris and Superman once fought each other on a bet. The loser had to start wearing his underwear on the outside of his pants.”
(ชัค นอร์ริสกับ ซูเปอร์แมนเคยสู้กันมาก่อน พนันกันว่าใครแพ้ให้ใส่กางเกงในไว้ข้างนอกนับแต่นั้นมา)
Chuck Norris once kicked a horse in the chin. Its descendants are known today as Giraffes.
(ชัค นอร์ริส เคยเตะเสยคางม้าตัวหนึ่ง ปัจจุบันมันถูกเรียกว่ายีราฟ)

ปรากฏการณ์ชัชชาติฟีเวอร์ ในเชิงการตลาด มาจากการสร้างแบรนด์บุคคลที่แข็งแกร่ง โดยอาศัยกลยุทธ์ของคอนเทนท์ที่เหมาะสม มาช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้โดดเด่น และการสร้าง engagement กับแฟนๆ เพื่อพัฒนาไปสู่ความนิยมชมชอบ ศรัทธา จนช่วยกันสร้างกระแสชัชชาติฟีเวอร์นี้ขึ้นมา

ล่าสุด มีโมเดล 3D ของ รมต.ชัชชาติที่ผลิตออกมาจากเครื่อง 3D Printer ออกมาให้เห็น แม้ว่าท่านรัฐมนตรีจะยังไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้ามีการทำธุรกิจในเชิงพาณิชย์จากแบรนด์ชัชชาติและกระแสชัชชาติฟีเวอร์อย่างเป็นล่ำเป็นสันแล้ว รมต.ชัชชาติ อาจจะเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่มีผู้จัดเก็บลิขสิทธิ์ส่วนตัวก็เป็นได้ :)

ติดตามสาระทางการตลาด เกาะติดเทรนด์เทคโนโลยีได้ที่เพจ www.facebook.com/mkthub เช่นเคย