ฝันสลาย!

ฝันสลาย!

ปิดฉากไปแบบมีปัญหา"ค้างคา" ให้ต้องตามแก้ตามเติมเต็ม สำหรับการรับสมัคร ส.ส.ระบบเขต

เพราะปรากฏว่าในจำนวนเขตเลือกตั้งทั้ง 375 เขต ใน 77 จังหวัด มีจังหวัดที่เปิดรับสมัครไม่ได้ 5 จังหวัด ประกอบด้วย สุราษฎร์ธานี 6 เขต, กระบี่ 3 เขต, ตรัง 4 เขต, พัทลุง 3 เขต และ สงขลา 8 เขต รวม 24 เขต

นอกจากนั้นยังมีเขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้สมัครเลย 28 เขต คือ นอกจาก 24 เขต ใน 5 จังหวัดที่เปิดรับสมัครไม่ได้แล้ว ได้แก่ ชุมพร เขต 1, ภูเก็ต เขต 1 และ นครศรีธรรมราช เขต 3 และเขต 8

ขณะเดียวกันยังมีเขตที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียว 22 เขต ใน 12 จังหวัด โดยเป็นพื้นที่ภาคใต้ 7 เขต ภาคเหนือ 9 เขต ภาคกลาง 3 เขต และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 เขต

จังหวัดที่เปิดรับสมัครส.ส.เขตไม่ได้ ล้วนอยู่ในพื้่นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์ อันเนื่องมาจากมวลชน กปปส.ปิดล้อมขัดขวางการรับสมัครทุกวิถีทาง นับตั้งแต่เปิดรับสมัครตลอด 5 วัน

น่าสนใจว่า หากรูปการณ์ยังเป็นเช่นนี้ กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) จะเดินหน้าจัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ.นี้ ให้เกิดความบริสุทธิ์ ยุติธรรม โปร่งใส ได้อย่างไร และจะมีปัญหาร้องเรียน ฟ้องร้องตามมาอีกมากมายหรือไม่

ดูเหมือน กกต.ก็รับรู้รับทราบปัญหาต่าง ๆ ดี จึงมีความพยายามที่จะหาทาง "คลี่คลายสถานการณ์" ด้วยการเชิญ "คู่ขัดแย้ง" มาพูดคุยเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

แต่ดูเหมือนกกต.จะ "ฝันสลาย" เพราะผลการหารือของ "ตัวแทนพรรคเพื่อไทย" กับ "ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์" มีแนวโน้มออกมาในทิศทางที่ "ไม่สู้ดีนัก"

สมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ซึ่งได้รับมอบหมายจาก กกต. และเป็นตัวตั้่งตัวตีในการเดินเกมเรื่องนี้ เป็นผู้ออกมายอมรับเองว่า ผลการหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับแนวทางในการช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง "สุดท้ายก็ยังไม่มีข้อยุติ"

สมชัย บอกว่า เขาได้นำเสนอชุดความคิดที่หวังจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันให้กับสองฝ่ายไป แต่จากการหารือสรุปว่า ยังไม่มีข้อยุติว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะยอมรับชุดความคิดดังกล่าวหรือไม่ แนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดีเท่าใดนัก เนื่องจากมุมมองทั้งสองฝ่ายยังมีความแตกต่างกันอยู่

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากนี้ทั้งสองฝ่ายคงนำชุดความคิดที่ตนได้เสนอ ไปหารือกันว่าจะเป็นวิธีการคิดที่จะช่วยให้เกิดผลดีกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันหรือไม่

"ขณะนี้ยังเห็นความแตกต่างในวิธีการคิดของทั้งสองพรรคการเมือง จึงไม่ง่ายนักที่จะทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะฉะนั้นคงต้องรอคอยให้สถานการณ์ต่างๆ มันพัฒนาไปสู่อีกระดับหนึ่ง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องรอคอยไปถึงเมื่อใด" นายสมชัย ระบุ

นอกจากจะประสานหารือกับตัวแทนของ 2 พรรคการเมืองใหญ่แล้ว สมชัย ยังประสานเพื่อขอหารือกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะคำตอบที่ได้รับจากสุเทพ คือ "อยากเดินไปในแนวทางที่ท่านคิดว่าถูกต้องก่อน และคิดว่าการพูดคุยในช่วงนี้ยังไม่มีความจำเป็น"

สมชัย บอกว่า กกต.คงทำสิ่งใดไม่ได้ แต่รู้สึกห่วงใยในสถานการณ์บ้านเมือง เนื่องจากพัฒนาการของเหตุการณ์ต่างๆ นั้นดูเหมือนจะเดินไปในทิศทางที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งตนได้รับข่าวว่าทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ประกาศเปิดประเทศ ในวันที่ 13 ม.ค. ซึ่งตรงกับวันที่นายสุเทพ นัดชุมนุมใหญ่ เพื่อปิดประเทศเช่นกัน

"ดังนั้นปัญหาเหล่านี้คงไม่ใช่ปัญหาการเลือกตั้งอีกต่อไปแล้ว แต่จะเป็นปัญหาของบ้านเมือง ที่ยังไม่มีทางออก โดยแต่ละฝ่ายพยายามใช้กำลังของตัวเองที่มีอยู่ออกมาแสดงและเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะดำเนินการแก้ไขคงไม่ใช่เป็นเรื่องของกกต.แล้ว" สมชัย ระบุ

ก่อนหน้านั้น จากที่ สมชัย ได้เดินสายหารือกับตัวแทนระดับสูงมากของพรรคเพื่อไทย(ผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจ) และตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ มาแล้วรอบหนึ่ง เห็นว่า มีจุดที่ตรงกันอยู่ที่สามารถคุยกันได้ จึงเดินหน้านัดหมายทั้งสองฝ่ายให้มาหารือพร้อมกันอีก เพื่อทำเป้าหมายให้ตรงกัน ที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ และนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์

"ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นไปในทางที่ดีกับทุกฝ่าย และประชาชนน่าจะสบายใจมากขึ้น อีก 10 วัน ก็น่าจะได้คำตอบ" นั่นคือความหวังของ สมชัย ที่ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้

แต่แล้ว"ความฝัน" ก็ต้องมลายหายไป

เมื่อการนัดเจรจากับ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ปรากฎว่าคนสำคัญของฝ่ายหนึ่ง(เพื่อไทย) ไม่มาอ้างติดธุระ ทำให้คนสำคัญของอีกฝ่ายหนึ่ง(ประชาธิปัตย์)ไม่มาบ้าง

"ผมจะไม่เสนอเป็นตัวกลางประสานการเจรจาอีกแล้ว เพราะนัดพูดคุยจึงเป็นการสนทนาธรรม ไม่ได้ข้อสรุป เพราะฝ่ายแรกไม่ต้องการเจรจา" สมชัย กล่าวตัดพ้อ

สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็น"บทเรียน"สำคัญว่า "สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง" ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ "กกต." จะรับบทเป็น "กาวใจ"ประสานความขัดแย้งของสองฝ่ายได้