ไมเคิล ชูมัคเกอร์ ผู้ปฏิวัติวงการ Formula 1 ยุคใหม่

ไมเคิล ชูมัคเกอร์ ผู้ปฏิวัติวงการ Formula 1 ยุคใหม่

เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวที่น่าตกใจเกี่ยวกับอดีตแชมป์โลกรถแข่งสูตร 1 ไมเคิล ชูมัคเกอร์ ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสกีศีรษะกระแทกก้อนหิน

อาการสาหัสซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่าอาการจะดีขึ้นหรือแย่ลงเนื่องจากยังอยู่ในอาการ induced coma ทางการแพทย์เพื่อลดอาการแทรกซ้อนจากภาวะสมองบวมและการผ่าตัดถึงสองครั้ง

สำหรับแฟนๆ ที่ชื่นชอบความเร็วคงรู้จักนักแข่งรถผู้นี้ดี เพราะในช่วงปี 1990’s ไมเคิล ชูมัคเกอร์ถือเป็นนักแข่งรถที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์การแข่งรถสูตร 1 มาด้วยการคว้าแชมป์หลายสมัยติดต่อกันเป็นสถิติในช่วงนั้น และคว้าแชมป์ให้กับทีมเฟอร์รารี่เป็นครั้งแรกในช่วงหลายสิบปี ส่งผลให้กลายเป็นนักขับรถที่มีอิทธิพลกับวงการอย่างมากในช่วงนั้น และถือเป็นนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดคนหนึ่งในระหว่างการขับให้กับเฟอร์รารี่

อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟนๆ ที่ติดตามการแข่งรถประเภทนี้อย่างเหนียวแน่น ไมเคิล ชูมัคเกอร์ ไม่ใช่แค่หนึ่งในตำนานของนักแข่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดเท่านั้น แต่เรียกได้ว่าเขาคือนักแข่งที่เข้ามาปฏิวัติวงการนักแข่งรถสูตร 1 ยุคใหม่ที่สำคัญที่สุด และเป็นต้นแบบของนักขับรถแข่งยุคใหม่ของจริง

ไมเคิล เป็นนักขับรถแข่งคนแรกๆ ที่เล็งเห็นว่า การขับรถแข่ง ไม่ได้ต่างอะไรกับกีฬาประเภทอื่นๆ ที่ต้องการความแข็งแกร่งของร่างกาย ยิ่งประกอบกับเทคโนโลยีของรถแข่งที่นับวันจะล้ำหน้าขึ้นเรื่อยๆ วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ระยะเบรกสั้นลงเรื่อยๆ เข้าโค้งด้วยแรง G ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่นักขับรถแข่งต้องมีคือร่างกายที่ฟิต และกล้ามเนื้อที่สามารถรองรับแรงกระทำต่างๆ เหล่านี้ได้

สิ่งที่ไมเคิลให้ความสำคัญอย่างมาก คือ การฟิตร่างกายของเขา ที่มีประสิทธิภาพแทบไม่ต่างกับนักฟุตบอลหรือนักเทนนิสระดับโลก ไมเคิลจะใช้เวลาอยู่ในห้องยิมทุกวัน และออกกำลังบริหารหัวใจและระบบการหายใจอย่างมีระบบ ทำให้เขามีร่างกายที่ lean และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ ไมเคิล ยังให้ความสำคัญกับโภชนาการต่างๆ อย่างเคร่งครัด จากภาพลักษณ์เดิมๆ ที่นักขับรถแข่งสมัยก่อนจะทั้งสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เราไม่เคยเห็นไมเคิลแตะต้องของเหล่านี้เลยตลอดระยะเวลาการขับรถของเขา โดยเฉพาะในช่วงระหว่างฤดูกาล ไม่ว่าในโอกาสใดก็ตาม

ไมเคิล เติบโตมาด้วยการคลุกคลีกับพ่อของเขาที่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์ และเริ่มที่จะทำความเข้าใจกับระบบการทำงานจักรกลและเครื่องยนต์ต่างๆ ตั้งแต่เขายังเล็ก สมัยที่เขาเริ่มแข่งโกคาร์ท ไมเคิลก็เริ่มที่จะทำหน้าที่ในการปรับจูนตัวรถด้วยตัวเอง แถมยังเคยทำงานในอู่รถยนต์มาก่อนที่จะมาขับรถอย่างจริงจังด้วย

นี่เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งของไมเคิลที่ทำให้เขาโดดเด่นและสร้างความแตกต่างให้กับทีมที่เขาร่วมขับให้ได้ เนื่องจากในยุคนั้น สิ่งที่วิศวกรของทีมต้องการคือ ฟีดแบ็ค ของนักขับรถที่ได้จากการวิ่งรถในสนามจริงเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับบรรดาข้อมูลดิบต่างๆ ที่ได้จากเซ็นเซอร์ที่ติดอยู่ที่ตัวรถ สำหรับวิศวกรแล้ว ข้อมูลดิบทางตัวเลขเหล่านั้นไม่สามารถตีความออกเป็น input ที่เกิดประโยชน์ได้หากไม่ถูกนำมาอธิบายในเชิงของคำพูดที่จะช่วยให้วิศวกรของทีมปรับแต่งรถและอุปกรณ์ต่างๆ ให้เข้ากับสไตล์การขับของนักแข่งแต่ละคนได้

ภาพที่เราเห็นชินตาคือไมเคิล จะใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ขลุกอยู่กับวิศวกรของทีมเขาภายหลังจากการทดสอบรถและแม้กระทั่งภายหลังการแข่งขันจบสิ้นลง เพื่อนำเอาข้อมูลของทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกันเพื่อปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

นอกจากสองเรื่องดังกล่าวแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครทำได้ดีกว่าไมเคิลคือการบริหารผู้คนรอบๆ ตัวของเขา

ไมเคิลได้ชื่อว่าเป็นนักแข่งที่สามารถดึงทีมงานที่อยู่รอบๆ ตัวของเขามาอยู่ฝั่งเดียวกับเขาได้อย่างเก่งมากคนหนึ่ง สมัยที่เขาอยู่ที่เฟอร์รารี่ นักแข่งอีกคนในทีมไม่ว่าจะเป็น Eddie Irvine หรือ Ruben Barrichello ล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่เป็นตัวสำรองของเขาทั้งสิ้น เฟอร์รารี่ถึงกับมีกฎเรื่องของการให้นักแข่งหมายเลข 2 ของทีมหลีกทางให้กับไมเคิลหรือแม้กระทั่งทำทุกวิถีทางที่จะช่วยหากสถานการณ์บีบบังคับว่าไมเคิลต้องชนะ

สำหรับผม ไมเคิล ชูมัคเกอร์ คือนักแข่งรถที่เข้ามาปฏิวัติวงการนักขับรถแข่งสูตรหนึ่งอย่างแท้จริง และเราจะเห็นได้ว่าบรรดานักแข่งรุ่นใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็น Kimi Raikonen หรือ Sebastien Vettel แชมป์โลกร่วมชาติชาวเยอรมันคนล่าสุดที่เพิ่งทำสถิติครองแชมป์ติดต่อกันทำลายสถิติเดิมของไมเคิลไปก็จะมีวิถีที่คล้ายคลึงกันในเรื่องความเข้าใจในเครื่องยนต์กลไก หลักทางฟิสิกส์ และเรื่องอื่นๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการคิดคำนวณการกระทำต่างๆ ของตัวเองมากขึ้น

ต่างกับนักแข่งรุ่นก่อนๆ ที่อาศัยความกล้าบ้าบิ่น และใจรักเพียงอย่างเดียว