ไร้ความชอบธรรมแล้วทั้งสองฝ่าย

ไร้ความชอบธรรมแล้วทั้งสองฝ่าย

ภาพประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน 2 สี เป็นภาพที่ผมได้มาจากที่มีการแชร์กันในโซเชียลมีเดีย

ซึ่งถ้าปล่อยให้สถานการณ์การเมืองเดินหน้าต่อไปแบบนี้ ย่อมมีโอกาสที่ประเทศไทยจะเป็นอย่างในภาพ

เบื้องต้นฝ่ายรัฐในฐานะผู้มีอำนาจ และคุมสื่อรัฐทุกแขนง ควรหยุดการแถลงข่าวที่อาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังมากขึ้นเอาไว้ก่อน เช่น ที่มีการนำเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสาธารณสุขออกทีวีแถลงถึงการยิงขัดขวางการลำเลียงตำรวจที่ถูกยิง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อเหตุการณ์ยังไม่ชัดเจนว่าใครยิง ก็ยังไม่ควรแถลง หรือแม้จะชัดเจนแล้ว ก็ควรหาวิธีแถลงแบบอื่น

เพราะการแถลงในบรรยากาศที่ไม่มีใครเชื่อใครแบบนี้ ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็ยิ่งแค้น ฝ่ายที่เชื่อก็แค้นหนักขึ้น!

จริงๆ เหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในประเทศไทยในห้วงหลายปีมานี้ แทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย คือ มีแต่ประชาชน ตำรวจ ทหารระดับปฏิบัติเท่านั้นที่ต้องสังเวยชีวิต ส่วนหัวขบวนของคู่ขัดแย้งยังอยู่สบายดี บางคนใช้ชีวิตหรูหราอยู่ต่างประเทศ บางคนอยู่ในประเทศ

บ้านเมืองของเราไม่ได้วิกฤติเพราะการรัฐประหารปี 49 แต่มันวิกฤติมาก่อนหน้านั้น วิกฤติมาจากการใช้อำนาจของนักการเมืองแบบไม่เกรงใจเจ้าของอำนาจที่แท้จริง แต่เมื่อคู่ต่อสู้ใจร้อน ต้องการชนะแบบรวบรัด และใช้ทางลัดด้วยการจุดชนวนให้ทหารยึดอำนาจ จึงกลายเป็นการเปิดทางให้อีกฝ่ายพลิกวิกฤติเป็นโอกาส แล้วก็ใช้กลไกเสียงข้างมากทวงอำนาจกลับคืน

ขณะที่อีกฝ่ายก็ใช้อำนาจทางกฎหมายผ่านกลไกค่ายกลที่เขียนขึ้นใหม่ ต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกันมาย่างเข้าปีที่ 8 แล้ว

เมื่อฝ่ายหนึ่งตั้งค่ายกลองค์กรอิสระเพื่อเล่นงานอีกฝ่ายที่มีอำนาจผ่านกลไกเสียงข้างมาก ย่อมถือเป็นแผนร้ายระดับหนึ่ง แต่แทนที่อีกฝ่ายจะมุ่งปฏิบัติตามกฎหมาย มุ่งแก้ปัญหาบ้านเมือง กลับเอาจริงเอาจังกับการแก้กฎหมายเพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ใช้เสียงข้างมากแบบหน้าไม่อาย กลายเป็นเข้าทางค่ายกลองค์กรอิสระ หลังๆ จึงต้องสร้าง "กองกำลัง" ขึ้นมาข่มขู่คัดง้างและเพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง

ผู้ที่มองทะลุการเมืองไทยย่อมทราบดีว่าจุดเปลี่ยนทางการเมืองในบ้านเมืองนี้คืออะไร

1.ทหารออกมามีบทบาท เป็นยอดปรารถนาของฝ่ายที่ต้องการโค่นล้มฝ่ายที่มีอำนาจอยู่ ปี 49 ทหารออกมายึดอำนาจเข้าทางผู้ชุมนุม แต่ปี 53 สถานการณ์ต่างออกไป ทหารออกมาแต่ไม่ได้รัฐประหาร ทำให้รัฐบาลอยู่ต่อได้ นี่คือพลานุภาพของกองทัพเมืองไทย

นั่นทำให้สถานการณ์ ณ วันนี้ จึงมีการพยายามกวักมือเรียกทหารจากทั้งสองฝ่ายให้มายืนอยู่ข้างตน ฝ่ายหนึ่งอยากให้ออกมายึดอำนาจ ขณะที่อีกฝ่ายอยากให้ออกมาปราบพวกเรียกร้องให้ปฏิวัติ

2.องค์กรอิสระวินิจฉัยชี้ขาด ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ต้องยอมถ้าข้อ 1 (ทหาร) ไม่เคลื่อนกำลังออกมา ฉะนั้นจึงเกิดการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้มีองค์กรอิสระบางองค์กร หรือยึดกุมกระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ และสุดท้ายเมื่อทำไม่ได้จริงๆ ก็ตั้ง "กองกำลัง" ขึ้นมาข่มขู่กรรโชกองค์กรอิสระ

ต้องยอมรับว่าองค์กรอิสระบางองค์กรในรอบหลายปีมานี้ ก็วินิจฉัยชี้ขาดหลายกรณีโดยใช้หลักกฎหมายอย่างฟุ้งเฟ้อ กว้างขวาง จนแทบไม่มีใครเชื่อถือแม้แต่กองเชียร์ข้างตัวเองก็ยังตะขิดตะขวง ขณะที่อีกข้างซึ่งเป็นเสียงข้างมากตลอดก็กระทำเหยียบย่ำหลักนิติธรรมจนหมดสิ้น เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว

ปัญหาทั้งหมดมันอยู่ตรงนี้...

บทความนี้น่าจะเป็นบทความในลักษณะแสดงความเห็นบทความท้ายๆ ของปี 56 ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ จึงอยากสรุปสถานการณ์ของบ้านเมือง ณ ปัจจุบันว่า คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายได้หมดความชอบธรรมในการเรียกร้องใดๆ แล้ว โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศ ฉะนั้นหากรักประชาชนจริงดังปากพูด ไม่อยากให้เกิดความรุนแรงจริงอย่างที่หลั่งน้ำตา ทั้ง นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องยอมหยุด ลดทิฐิ ถอยคนละก้าว แล้วตกลงกันเพื่อทางออกของบ้านเมือง เปิดทางให้ "องค์กร" หรือ "คณะบุคคลที่เป็นกลาง" เข้ามาทำหน้าที่ปฏิรูป โดยพิจารณาจากสารพัดสูตรที่เสนอกันอยู่ในขณะนี้

โดยเฉพาะสูตรของ อาจารย์สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ จากทีดีอาร์ไอ ที่น่าจะมีความเป็นไปได้ และมีความคล่องตัวในการทำงานมากที่สุด

รัฐบาลอย่ามาอ้างว่าเลื่อนเลือกตั้งไม่ได้ เพราะในรัฐบาล คุณทักษิณ ชินวัตร สมัยที่ 2 ก็เคยเลื่อนเมื่อปี 49 แต่ครั้งนี้เลื่อนเพื่อรักษาชีวิตคน จึงมีเหตุผลทำได้แน่นอน

ส่วนฝ่าย กปปส.ก็ควรลดราวาศอก ไม่ใช่ว่าต้องให้นายกฯออกจากรักษาการท่าเดียว ถ้าอยากให้ปฏิรูปจริง รักชีวิตผู้ชุมนุมจริง ต้องยอมถอยบ้าง และพรรคประชาธิปัตย์ควรแสดงบทบาทกู้วิกฤติ ไม่ใช่ซ้ำเติมวิกฤติ

ตั้ง "คณะกรรมการกลาง" ขึ้นมาปฏิรูปแล้วเลือกตั้งใหม่ เพราะพวกคุณทั้งสองฝ่ายไม่มีความชอบธรรม ที่จะขับเคลื่อนประเทศต่อไปในบรรยากาศอย่างนี้อีกแล้ว!