ค่าเงิน2556ตื่นเต้น ผันผวน2557ตั้งสติกันให้ดี

ค่าเงิน2556ตื่นเต้น ผันผวน2557ตั้งสติกันให้ดี

สวัสดีครับ และในที่สุดก็ใกล้สิ้นปีกันอีกครั้ง ปีนี้ดูเหมือนจะสิ้นปีกันอย่างไม่ง่ายนัก

เพราะกว่าจะผ่านไปในแต่ละเดือนนั้น ดูเหมือนการดูกีฬาที่เราไม่สามารถคลาดสายตาไปได้เลย มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา

ช่วงต้นปีดูเหมือนเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มการเติบโตของ GDP ไม่น้อย และเกือบ 5 % แต่พอเวลาผ่านไปดูเหมือนตัวเลขของการเติบโตนั้น มีปัจจัยผันผวนที่ทำให้ท้ายที่สุดมีความท้าทายกับทุกคน ทั้งผู้ประกอบการ ทางการ ธนาคาร รวมถึงพวกเราคนไทยทั่วไปด้วย

ในส่วนของปีนี้นั้นหากเราเปรียบเทียบก็เปรียบได้เหมือนกับเป็นปีแห่งความผันผวนและไม่คาดฝัน ที่บอกว่าเป็นปีที่ผันผวนนั้น ตั้งแต่ต้นปีเราเป็นห่วงว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น และบางคนก็บอกว่าอาจจะแข็งไปได้กว่า 28 บาท และมีนโยบายหลาย ๆ นโยบายออกมา มีการขอความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงาน เพื่อให้เงินบาทอ่อนค่าลง

หลังจากนั้นไม่นานค่าเงินก็อ่อนค่าลงเนื่อง ด้วยความเป็นห่วงการลดนโยบาย QE ของทางการอเมริกา และทำให้เกิดความเป็นห่วงเงินทุนและการลงทุนในตราสารต่าง ๆ ที่จะไหลออกจากประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเช่นกัน

โดยในส่วนของปัจจัยที่เกิดขึ้นนั้น หากเราสรุปเพื่อเอาเป็นแนวทาง ในการมองต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้นั้น การปรับเปลี่ยนของค่าเงินมีด้วยกันหลายๆปัจจัย คือ การปรับตัวของเศรษฐกิจของนอกประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาและยุโรป ซึ่งในปีนี้มีความคาดหวัง และเป็นห่วงว่าหากเศรษฐกิจของอเมริกาดีขึ้น

ผลก็คือ ผู้ลงทุนก็จะไปลงทุนที่อเมริกาเหมือนเดิม เงินที่ลงทุนในประเทศต่าง ๆ ก็จะถูกถอนกลับ ซึ่งในความเป็นห่วงนี้ ผมคิดว่าการปรับตัวของทิศทางเศรษฐกิจของอเมริกานั้นอยู่ในสถานะที่ดีขึ้น และไม่ใช่เพียงแค่อเมริกาเท่านั้น ประเทศอื่น ๆ ในยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น (ตามนโยบายอาเบะโนมิคส์) ก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน การลงทุนในภูมิภาคอื่นๆนั้น ก็จะเพิ่มเติมขึ้น

ความมีเสน่ห์ของประเทศในอาเซียน น่าจะน้อยลงสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุน ค่าเงินยังมีความผันผวนในปีนี้ และจะยังคงมีแนวทางในการเกิดความผันผวนต่อไปอีกในปีหน้าแน่นอน

นอกจากนี้ปัจจัยที่นอกเหนือจากการลงทุนของนักลงทุนสำหรับประเทศไทยนั้น ยังอาจมีผลกระทบที่เกิดจากการรับราคาของสินค้าโภคภัณฑ์หลาย ๆ รายการ ทั้งด้านราคาและปริมาณผลผลิตที่ผลิตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมันสำปะหลัง อ้อย (เมื่อปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์แห้งแล้วในต่างประเทศทำให้ราคาอ้อยโดยรวมมีราคาสูง แต่ในปีนี้การผลิตที่ประเทศอื่น ๆ ดีขึ้น ทำให้ราคาลดต่ำลง) ข้าวโพด ยางพารา ซึ่งนอกจากนี้การเกิดภาวะโรคระบาดในกุ้งที่ทำให้กุ้งตายก่อนถึงเวลา ซึ่งทำให้ปริมาณกุ้งมีปริมาณลดลงกว่าร้อยละ 40 ด้วย

รายรับโดยรวมของเกษตรกร รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนื่องของสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว ทำให้ปริมาณเม็ดเงินที่ได้รับมีจำนวนน้อยลง ซึ่งเดิมไทยนั้นพึ่งพาการส่งออก และมีการนำเงินที่ได้จากการขายสินค้ามาทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ (มีทั้งการนำเข้า ส่งออก ลงทุนภายนอก และมีการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว) ซึ่งในปีที่ผ่านมานี้ปริมาณเงินดอลลาร์ที่เข้ามาในประเทศน้อยลง ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือ ประเทศไทยมีนักลงทุนเก็งกำไรในทองคำค่อนข้างมาก และในปีนี้เนื่องด้วยราคาทองคำอยู่ในภาวะขาลง ทำให้ประมาณการขายทองออกไปนอกประเทศมีปริมาณน้อยลงด้วย โดยผลรวมนั้นทำให้ค่าเงินของเราอยู่ในระดับ 31 บาทกว่า ๆ

ค่าเงินในปีนี้มีความผันผวนขึ้นลง แต่ก็ด้วยเหตุดังกล่าว ซึ่งผมคิดว่าในปีหน้าที่จะถึงนี้ เราคงต้องจับตาดูปัจจัยหลายๆปัจจัย ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นปัจจัยที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในปีนี้

หากมีปัจจัยอื่นๆที่ต้องจับตาดูหลักๆ คือการลงทุนของต่างประเทศที่จะมาลงทุนในประเทศไทย และอาจใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน (น่าจะเห็นการลงทุนในบริษัทจากประเทศญี่ปุ่น จีน และเกาหลี เพิ่มเติมขึ้น แต่ขนาดของบริษัทอาจมีขนาดเล็กลง) และคงต้องดูการลงทุนของบริษัทไทยที่จะออกไปลงทุนนอกประเทศไทยด้วยเช่นกัน

ค่าเงินนั้นดังที่ได้เกริ่นในหลายๆคราว เราคงไม่สามารถเห็นค่าเงินที่อยู่นิ่ง ๆ แต่ปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัยที่ต้องจับตาดูจะเป็นผลให้เกิดทิศทางของค่าเงินในระยะปานกลางและระยะยาวได้ ปีหน้าคงยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องจับตาดูและบริหารความเสี่ยงกันต่อไป